วันนี้ (11 เมษายน 2568) นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการจัดตั้งและขับเคลื่อน “องค์กรจัดการความรู้ทางทะเลของประเทศไทย” ขึ้นมา เพื่อวางรากฐานในการเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ทางทะเลระดับประเทศ
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้ง “องค์กรจัดการความรู้ทางทะเลของประเทศไทย” ให้เป็นศูนย์กลางการวิจัย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการให้คาปรึกษาเชิงนโยบายด้านทะเลของประเทศ รวมถึงเป็นคลังสมองทางทะเล (Maritime Think Tank) ที่เชื่อมโยงภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคีจากทั้งในและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาความรู้ทางทะเลอย่างเป็นระบบ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
พล.ต.ต. สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสานักนายกรัฐมนตรี ประธานในพิธี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างองค์ความรู้เพื่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลให้ครอบคลุมในทุกมิติ จึงงเชื่อว่า องค์กรจัดการความรู้ทางทะเลของประเทศไทย จะเป็นกำลังความคิด ฐานข้อมูลที่สำคัญในการขับเคลื่อนองค์ความรู้ทางวิชาการด้านทะเลและมหาสมุทรของประเทศไทย เพื่อรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลต่อไป
นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติให้ความสำคัญกับการจัดตั้งองค์กรจัดการความรู้ทางทะเลของประเทศไทย เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการกำกับ ดูแล และพัฒนาพื้นที่ทะเลเพื่อประโยชน์ของชาติ โดยมี จุฬาลงกรณ์หาวิทยาลัย และกองทัพเรือ เป็นกลไกหลักในการบริหารจัดการและสนับสนุนทางวิชาการ”
พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ยืนยันว่า กองทัพเรือมีความพร้อมในการร่วมขับเคลื่อนองค์กรฯ โดยเฉพาะในมิติของความมั่นคง และการคุ้มครองผลประโยชน์ของประเทศในทะเล
ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความพร้อมในการเป็นแกนกลางด้านวิชาการ โดยจะบูรณาการความเชี่ยวชาญจากคณาจารย์หลากหลายสาขา มาสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลและงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเสนอแนวทางเชิงนโยบายที่มีคุณภาพต่อผู้มีอำนาจตัดสินใจ เพื่อการอนุรักษ์ และใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน
ประเทศไทยมีพื้นที่ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ปัจจุบันยังคงเผชิญกับปัญหาการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลที่ไม่เหมาะสม ตลอดจนมีข้อพิพาททางทะเล ที่ยังไม่สามารถหาทางออกได้ และส่งผลกระทบต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
อย่างไรก็ตาม สมช.และกองทัพเรือ เห็นว่าการนำองค์ความรู้ด้านวิชาการมาใช้ในการดำเนินการจะเป็นประโยชน์ หากมีการจัดตั้งองค์กรจัดการความรู้ทางทะเลของชาติ ให้มีบทบาทในการศึกษาวิจัยและพัฒนายุทธศาสตร์ เผยแพร่ข้อมูลเชิงลึกเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐ จะช่วยให้ประเทศมีศักยภาพในการ่วมกันแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ และการใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างสมดุลและยั่งยืนในการพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ
ก่อนหน้านี้ ได้ทำการวิจัยเรื่อง “รูปแบบการจัดตั้งองค์กรจัดการความรู้ทางทะเล” เสนอต่อ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ พบว่า ประเทศไทยมีลักษณะภูมิศาสตร์ทางทะเลประกอบด้วยชายฝั่งอ่าวไทยและชายฝั่งอันดามัประมาณ 3,010 กิโลเมตร มีพื้นที่เขตทางทะเล รวม 320,000 ตารางกิโลเมตร มีจังหวัดที่มีอาณาเขตติดกับทะเล 23 จังหวัด
จึงถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญของเส้นทางเดินเรือ การขนส่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถสร้างผลประโยชน์ของชาติทางทะเลได้อย่างมหาศาล ทั้งในฐานะที่เป็นแหล่งทรัพยากร แหล่งพลังงาน และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่ไม่สามารถวัดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ มีการประเมินว่าผลประโยชน์ทางทะเลที่สามารถวัดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ในปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 24 ล้านล้านบาท/ปี จึงควรมีการจัดตั้งเป็นองค์กรที่เน้นภารกิจในการจัดการความรู้มากกว่าการสร้างความรู้ด้วยตนเองทั้งหมด ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานรวบรวม และบูรณาการองค์ความรู้จากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนเหตุผลทางวิชาการที่จำเป็นต่อการตัดสินใจทางนโยบาย ของหน่วยงานภาคปฏิบัติต่าง ๆ
โดยในระยะต้นควรจัดตั้งเป็นสถาบันภายใต้มหาวิทยาลัยในการกำกับดูแลของรัฐ ส่วนในอนาคตควรยกระดับสู่การเป็นองค์กรมหาชนที่มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินภารกิจทางยุทธศาสตร์ เพื่อการจัดการความรู้อย่างครบวงจร