มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ประสบความสำเร็จในการวิจัยและพัฒนา "เพชรสังฆาต" เพื่อใช้ในผู้ป่วยกระดูกบางและพรุน โดยมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเพชรัสงฆาต และวิจัยทางคลินิกพบว่า อาจมีส่วนช่วยชะลอการลดลงของมวลกระดูกในผู้ป่วยกระดูกบางในช่วงเวลา 6 เดือน
ปัจจุบันได้นำมาใช้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาล และติดตามผลลัพธ์การใช้ที่นานขึ้น ผลการใช้เบื้องต้นพบว่า การเสริมการรักษด้วยเพชรสังฆาต ช่วยชะลอการลดลงของมวลกระดูก หลังจากใช้ต่อเนื่อง 1 ปีขึ้นไป
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ คณะกรรมการติดตามและประเมินผลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และคณะ พร้อมด้วยคณะจากศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เข้าเยี่ยมชมความก้าวหน้าและติดตามผลโครงการวิจัย "การศึกษาอายุเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมและการพัฒนาวิธีคิดวิเคราะห์เชิงปริมาณของวัตถุดิบเพชรสังฆาต (ระยะที่ 2)" ณ มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อที่จะพัฒนาวิธีการปลูกเพชรสังฆาต ที่มีสารสำคัญสูง และถ่ายทอดต่อให้กับเกษตรกร ซึ่งโครงการนี้เป็น 1 ใน 7 โครงการที่ได้รับเลือกจากคณะกรรมการ เป็นกรณีศึกษาที่มีความโดดเด่นด้านผลงาน ที่สร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชน สังคม และ ประเทศ
โครงการวิจัยดังกล่าว อยู่ภายใต้การนำของ
รศ.ดร.ภก.สมภพ ประธานธุรารักษ์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพและบริการวิชาการ ม.มหิดล เป็นหัวหน้าโครงการ ร่วมด้วย ผศ.ดร.ภญ.ธนิกา ปฐมวิชัยวัฒน์ และ รศ.ดร.ภญ.ชุติมา เพชรกระจ่าง โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) และมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ได้กล่าวชื่นชมว่า โครงการวิจัยนี้ ถือเป็นโมเดลต้นแบบของการพัฒนาศักยภาพสมุนไพรไทยครบวงจร ที่นำเอาวิชาการสมัยใหม่ ผนวกกับวิชาการดั้งเดิม เพื่อสร้างประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง ครบทั้ง 4 มิติ คือ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม ความเอาใจใส่ และสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดเส้นทางตั้งแต่ต้นทางของวัตถุดิบสมุนไพรของกลุ่มเกษตรกร ไปจนถึงการใช้ประโยชน์ทางสุขภาพ โดยรูปแบบดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่น่าจะนำไปขยายให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่อื่นๆ อีกด้วย
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนต่อการรักษาโรคริดสีดวงทวารหนักทั้งระยะเฉียบพลัน และระยะต่อเนื่อง พบว่า เพชรสังฆาต ให้ต้นทุนต่อคอร์สการรักษาที่ถูกกว่ายาแผนปัจจุบัน 1.4-1.5 เท่า และที่สำคัญ วัตถุดิบนี้สามารถผลิตได้เองภายในประเทศโดยเกษตรกรไทย
สำหรับในโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นโรคที่มีแนวโน้มเกิดสูงขึ้นและเป็นภาระค่าใช้จ่ายสูงของภาครัฐ ในการรักษาถึงปีละ 136,470 ล้านบาทได้ และมีรายงานของการใช้ยาแผนปัจจุบันที่มีราคาต่อการรักษาต่อปีอยู่ระหว่าง 10,872 บาท -231,120 บาท โดยหากมีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง คาดว่าเพชรสังฆาตจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางการรักษาได้
นอกจากประโยชน์ทางการแพทย์แล้ว โครงการนี้ยังสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในชุมชนท้องถิ่น โดยมีกลุ่มสมุนไพรบ้านทาม อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นแหล่งผลิตสำคัญ ภายใต้การดูแลของ ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร ประธานกรรมการบริหารฝ่ายพัฒนาภูมิปัญญาไทย มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
ในปัจจุบันปริมาณการรับซื้อสมุนไพรเพชรสังฆาตเฉลี่ย 5 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งหากมีวิจัยต่อเนื่องและได้รับการสนับสนุนจากภาคนโยบาย ให้ใช้ยาสมุนไพรมากขึ้น จะสามารถรับซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรเพิ่มขึ้นด้วย
ความสำเร็จครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาสมุนไพรไทยอย่างครบวงจร และยังได้รับการบรรจุเป็นหนึ่งใน
โครงการสำคัญภายใต้แผนงานวิจัยด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง (Product Champion) แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสมุนไพรไทยในการรักษาโรค ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชน