กรมการแพทย์ ชี้ สถานการณ์เตียงโควิดหลังสงกรานต์ยังรับได้

22 เม.ย. 2565 | 10:40 น.

กรมการแพทย์ เผย สถานการณ์เตียงรักษาโควิด-19 ยังเพียงพอหลังผ่านสงกรานต์ 1 สัปดาห์ อัตราครองเตียงทั้งประเทศราว 30% รอประเมินตัวเลขสิ้นเดือน เม.ย.นี้

22 เมษายน 2565 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ รัฐบาลโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยประชาชน

จึงมอบหมายให้กรมการแพทย์ดำเนินการบริหารจัดการเตียงร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายต่างๆ ได้แก่ โรงพยาบาลภาคีเครือข่าย UHosNeT กรุงเทพมหานคร กลาโหมโรงพยาบาลเอกชน ภาคประชาสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

โดยมีการประชุมเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลและการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานครกลุ่มปฏิบัติการด้านการจัดการเตียงและรักษาพยาบาล UHosNeT BKK กรมการแพทย์ทุกสัปดาห์ เพื่อ UPDATE สถานการณ์ภาพรวมการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ประเมินสถานการณ์และศักยภาพเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด 19 ในโรงพยาบาลต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งภาพรวมของประเทศด้วย

ขณะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย โดยการติดเชื้อในเด็กมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการติดเชื้อเดือนมกราคม ส่วนกลุ่มที่เสียชีวิต อาการหนักยังเป็นกลุ่มสูงวัยกลุ่มเปราะบาง มีโรคเรื้อรัง ติดบ้านติดเตียงที่รับเชื้อจากคนใกล้ชิด

สำหรับการเสียชีวิตในเด็ก พบว่า มากกว่า 50% เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี ส่วนใหญ่มีโรคร่วม และเกือบทั้งหมด ไม่มีข้อมูลได้ฉีดวัคซีน ด้านการรักษาขณะนี้ทั่วประเทศมีเตียงรักษาโควิดประมาณ 1.8 แสนเตียง อัตราครองเตียงประมาณ 35.8% การระบาดของโควิด 19 ในขณะนี้มีแนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นจากก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์

ส่วนมากเป็นกลุ่มอาการสีเขียว การรักษาผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงเป็นรูปแบบ Home Isolation (HI) / Community Isolation (CI) และแบบผู้ป่วยนอก หรือ "เจอ แจก จบ" (Outpatient with Self Isolation : OPSI) จึงยังมีเตียงรองรับกลุ่มอาการหนัก สำหรับการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 เป็นไปตามแนวทางการรักษา (CPG) ของกรมการแพทย์ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม

 

 

 

 

1. กลุ่มที่ไม่มีอาการหรือสบายดี ไม่ต้องกินยาต้านไวรัส อาจให้ยาฟ้าทลายโจรขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์

2. กลุ่มที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยง พิจารณาให้ Favipiravir เร็วที่สุด

3. กลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง ต่อโรครุนแรงหรือกลุ่มที่มีปอดอักเสบ แต่ยังไม่ต้องให้ออกซิเจน พิจารณาให้ยาต้านไวรัสเร็วที่สุด ตัวใดตัวหนึ่ง ตาม CPG ของกรมการแพทย์ ได้แก่ Favipiravir หรือ Remdesivir หรือ Molnupiravir หรือ Nirmartelvir/ritonavir (Paxlovid) โดยประเมินจากประวัติวัคซีนและปัจจัยเสี่ยงต่อโรครุนแรง

4. กลุ่มที่มีอาการปอดอักเสบต้องได้รับการรักษาด้วยออกซิเจน พิจารณาให้ Remdesivir เร็วที่สุด

 

ทั้งนี้ การรักษาในผู้ป่วยกลุ่มเด็ก มีแนวทางรักษา คือ การให้ยา Favipiravir ชนิดเม็ดและชนิดน้ำ ในกลุ่มอาการไม่รุนแรง และ Remdesivir ในกลุ่มอาการปานกลางถึงรุนแรง

ส่วนการรักษาในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ มีแนวทางคือ การให้ยา Remdesivir และอาจพิจารณาให้ Favipiravir ในไตรมาสที่ 2-3 พิจารณาเป็นกรณี ทั้งนี้ การรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โรคประจำตัว และประวัติการได้รับวัคซีน เพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด