สอบเข้า 'สาธิต' เกณฑ์ห้ามร้องไห้! เมื่อ ผู้ใหญ่ ไม่เคยเข้าใจความเป็นเด็ก

04 ก.พ. 2565 | 08:59 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ก.พ. 2565 | 16:11 น.

ข่าวสอบเข้าอนุบาล ร.ร.สาธิต ม.มหาสารคาม ระบุ เกณฑ์ห้ามเด็กร้องไห้ หัก 3 คะแนน ขณะผอ.โร่แจงเหตุผล หวั่นทำเด็กอื่นเสียสมาธิ ยังคงเป็นกระแสโจมตีทางสังคม ด้านนักจิตวิทยา สลด! ห้ามเด็กร้องไห้ ไม่ต่างจากการห้ามเป็นมนุษย์

4 ก.พ.2565 - เป็นกระแสถกเถียงทางสังคมตั้งแต่ค่ำวานนี้ หลังมีหนังสือประกาศของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายประถม) ว่อนโซเซียล กล่าวถึงหลัก เกณฑ์การทดสอบคัดเลือกนักเรียนชั้นอนุบาล 1-3 เข้าเรียนสาธิต ในปีการศึกษา 2565 ซึ่งระบุ ข้อ 2 หากเด็กร้องไห้ ให้หักคะแนนฐานที่ร้องไห้ ฐานละ 3 คะแนน 

สอบเข้า 'สาธิต' เกณฑ์ห้ามร้องไห้!  เมื่อ ผู้ใหญ่ ไม่เคยเข้าใจความเป็นเด็ก

สร้างความงุนงงให้กับสังคม พร้อมเกิดคำถามร่วมกันว่า เหตุใดการร้องไห้ของเด็กเล็กถึงเป็นเรื่องผิดปกติในระบบการศึกษาไทย  ซึ่งภายหลัง ทางโรงเรียน โดย รศ.ดร.สุนันท์ สายกระสุน ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ชี้แจงต่อสื่อว่า เหตุผลการตั้งหลักเกณฑ์ห้ามเด็กร้องไห้นั้น ก็เพื่อต้องการสร้างความเป็นธรรม ไม่ให้เด็กคนอื่นเสียสมาธิ และถือเป็นระเบียบที่ใช้ทดสอบเด็กเข้าเรียนสาธิตมานานแล้ว 

อย่างไรก็ตาม คำตอบเบื้องต้น ได้มีความเห็นหลากหลายเกิดขึ้น รวมถึงนักจิตวิทยาด้วย โดยเพจ ตามใจนักจิตวิทยา ที่มีผู้ติดตามราว 2.79 แสนคน ได้กล่าวถึง ประเด็นข่าวห้ามเด็กร้องไห้ระหว่างการทดสอบเข้าเรียนสาธิต ไว้อย่างน่าสนใจ โดยหยิบยก ธรรมชาติของเด็ก และ ความเป็นมนุษย์ ที่ไม่ควรถูกตีกรอบด้วยผู้ใหญ่ และระบบการศึกษาไทย ตามใจความดังนี้ 

สอบเข้า 'สาธิต' เกณฑ์ห้ามร้องไห้!  เมื่อ ผู้ใหญ่ ไม่เคยเข้าใจความเป็นเด็ก

เด็กปฐมวัย 0-6 ปี คือวัยก่อนวัยเรียน
เด็กๆ เพิ่งจะเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งต่างๆ 
พัฒนาการที่เด่นชัดคือ “ร่างกาย” 

พวกเขาควบคุมสิ่งที่เป็นรูปธรรมได้ดี เช่น เข้าใจจำนวนที่จับต้องได้ รู้ว่าอยากกินขนมอีกกี่ชิ้น กระโดดไปข้างหน้าด้วยสองเท้าที่มั่นคง ปีนป่าย และวิ่งเล่นอย่างมีพลัง

แต่ไม่ใช่นามธรรม เช่น บวกลบเลขบนกระดาษ จัดการอารมณ์ได้ดีพร้อม หรือ เข้าใจเรื่องของการบริหารจัดการเวลา

 

ในวันที่ผู้ใหญ่คาดหวังให้เด็กไม่เป็นเด็ก
ให้เด็กทดสอบทุกฐาน 
ห้ามร้องไห้ หากร้องไห้เสียคะแนน
ให้แยกจากพ่อแม่และคาดหวังต้องปรับตัวได้

 

“สิ่งที่เราทำกำลังทำร้ายเด็กๆ อยู่หรือเปล่า?”
เราควรกลับมาทบทวนกันจริงจังไม่ใช่แค่เรื่อง “พัฒนาการของเด็ก”  แต่หมายรวมไปถึง “ความเป็นมนุษย์”

 

  • สิ่งที่เด็กทุกคนควรได้รับ คือ“โอกาส” 

เด็กทุกคนมีความแตกต่างกัน บางคนเร็วบ้าง ช้าบ้าง แต่เด็กทุกคนสามารถพัฒนาและเติบโตได้ ดังนั้นไม่ควรมีเด็กคนใดควรถูกตัดโอกาสเพียงเพราะเขาไม่ตรงตามเกณฑ์ที่ผู้ใหญ่ตั้งขึ้น 

การทดสอบควรเป็นไปเพื่อให้ผู้ใหญ่รู้ว่า “เราควรพัฒนาเด็กจากจุดใด” 
และมีอะไรที่เราสามารถมอบให้กับเด็กคนนี้ได้บ้าง

เช่น การทดสอบในสภาพแวดล้อมธรรมชาติของเด็ก ให้เขาเล่น ให้เขาเดินไปหยิบจับสิ่งต่างๆ มาทำกิจกรรม หรือ ให้เขาได้ลงมือช่วยเหลือตัวเอง เพราะพัฒนาการที่สำคัญของเด็กเล็กคือร่างกาย ไม่ใช่วิชาการ

 

“การทดสอบ” หรือ “การประเมินพัฒนาการ” 
ไม่ควรเกิดขึ้นเพื่อตัดโอกาสเด็กคนใดออกไปหรือเพื่อตีตราว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เรื่องและไม่ดีพอ 

 

  •  “การร้องไห้” 

เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวและรับมือกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นของเด็กๆ และมนุษย์ทุกคน

ในความจริงตามหลักพัฒนาการเด็ก ความวิตกกังวลในการแยกจากมักเกิดในเด็กวัย 2-6 ปี เด็กยังไม่สามารถแยกจากได้อย่างสมบูรณ์ (Ainsworth, 1979) หากลูกเรายังอยู่ในช่วงวัยดังกล่าว และเขายังไม่พร้อมแยกจากนั้นเป็นเรื่องปกติ การร้องไห้หรือการไม่อยากแยกจากเป็นเรื่องปกติ

 

ผู้ใหญ่ควรอนุญาตให้เด็กร้องไห้ได้ และทำความเข้าใจใหม่ว่าการร้องไห้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งต้องห้าม เป็นสิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอ แต่สิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำคือการรับรู้อารมณ์ เข้าใจ และตอบสนองอย่างเหมาะสมต่างหาก

 

เด็กเล็กมากที่ยังไม่สื่อสาร เมื่อร้องไห้ผู้ใหญ่เข้าไปโอบอุ้มและปลอบประโลม
เด็กที่โตขึ้นมาหน่อย เมื่อร้องไห้ผู้ใหญ่พาออกมาในพื้นที่ที่ปลอดภัย มีแค่เรากับเขา ให้ความมั่นใจว่าไม่เป็นไร ร้องไห้ได้นะ และเมื่อสงบพูดคุยกันว่า “เป็นอะไร” “เกิดอะไรขึ้น” และ “อยากให้ช่วยอะไรไหม”

 

“การห้ามเด็กร้องไห้”
ไม่ใช่เพียงเราคาดหวังให้เด็กไม่เป็นเด็ก
เรากำลังคาดหวังไม่ให้เขาเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ

 

 

  •  “ให้เด็กได้เป็นเด็ก” 

ด้วยการคาดหวังเขาให้ตรงตามวัย 

ไม่ใช่แค่เพียงพ่อแม่ แต่ผู้ใหญ่ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเด็กควรรับรู้เรื่องพัฒนาการมนุษย์ และให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากกว่าตัวเลขบนหน้ากระดาษ

เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากขึ้น แม้จะเป็นเด็ก แต่เด็กก็มีหัวใจและความรู้สึกไม่แตกต่างจากเราผู้ใหญ่เลย
บางครั้งความรู้สึกที่เกิดขึ้นมีมากกว่าเราด้วยซ้ำ เพราะประการณ์ชีวิตและภูมิคุ้มกันที่ยังไม่มากพอ

 

สุดท้าย เด็กทุกคนต้องการโอกาสในการเติบโต ไม่ควรมีผู้ใหญ่คนใดมาพรากโอกาสนั้นไปจากเขา

“หัวใจของเด็กคือสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องปกป้อง”
ให้เขาได้เป็นเด็กตามวัย ให้เขาได้เรียนรู้เพื่อเติบโตไม่ใช่เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของเรา เพราะเมื่อเด็กไม่เป็นดังหวัง เรากลับตีตราเขาว่าไม่มีความสามารถ