“ตรีนุช”ให้สิทธิพื้นที่เปิด-ปิดโรงเรียนตามบริบทการแพร่ระบาดโควิด-19

10 ม.ค. 2565 | 10:17 น.

“ตรีนุช”ให้สิทธิพื้นที่เปิด-ปิดโรงเรียนตามบริบทของการแพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ ล่าสุดเปิด On-site เกินครึ่ง เน้นใช้มาตรการ 6-6-7 ป้องกันเข้มข้น

วันนี้(10 มี.ค.65) ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)  กล่าวในการเสวนา “โอมิครอน ร้ายจริงหรือ? ถึงต้องปิดโรงเรียน” ผ่านระบบ Zoom Meeting 

 

โดยชี้แจงถึงนโยบายความปลอดภัยในสถานศึกษา การปรับรูปแบบการจัดการเรียนรู้ (5 on) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ทุกที่ ทุกสถานการณ์ และการเตรียมความพร้อมที่จะเปิด On Site ของทุกโรงเรียนอย่างปลอดภัย โดยความร่วมมือระหว่าง ศธ .และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ว่า 

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 หรือ โควิด-19 เป็นความท้าทายของคนทั้งโลก โดยการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ “โอมิครอน (Omicron)” ขณะนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก ซึ่งศธ.ได้มอบหมายให้แต่ละสถานศึกษาสามารถเลือกรูปแบบการจัดการเรียนการที่เหมาะสมกับบริบทของการแพร่ระบาดในพื้นที่

                                     “ตรีนุช”ให้สิทธิพื้นที่เปิด-ปิดโรงเรียนตามบริบทการแพร่ระบาดโควิด-19

“สำหรับสถานศึกษาที่ตัดสินใจจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนแบบ On-Site จะต้องปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัย 6 มาตรการหลัก (DMHT-RC) 6 มาตรการเสริม (SSET-CQ) และแนวทาง 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา อย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด” นางสาวตรีนุช กล่าว

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเข้าถึงการศึกษาของเด็กและเยาวชน จึงเร่งรัดการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ครูเป็นลำดับต้นๆ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 และฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กอายุ 12-18 ปี ซึ่งข้อมูลการวัคซีนโควิด-19 และการเปิดเรียนแบบ On-Site ของ ศธ. ณ วันที่ 8 มกราคม 2565 มีครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ประสงค์รับวัคซีน 982,427 คน ได้รับวัคซีนเข็ม 1 แล้ว 99.99% เข็ม 2 แล้ว 78.11%

 

ส่วนนักเรียนผู้ประสงค์รับวัคซีน 4,320,130 คน ได้รับวัคซีนเข็ม 1 แล้ว 94.76% เข็ม 2 แล้ว 69.52%  และขณะนี้รัฐบาลก็ได้รณรงค์ให้มีการฉีดเข็ม 3 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันมากขึ้น

 

“ที่ผ่านมาการปิดประเทศ lock down นำมาสู่การปิดโรงเรียน ทำให้เด็กสูญเสียโอกาสในการเรียนรู้ ศธ.จึงต้องจัดรูปแบบการศึกษาที่หลากหลาย แต่ที่สุดแล้ว ศธ.ก็พบว่า รูปแบบการเรียนรู้ที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก คือ การมาโรงเรียน ดังนั้น การปิดโรงเรียนจึงไม่ใช่มาตรการหลักของเรา 

 

ขณะนี้มีสถานศึกษาในสังกัด ศธ.เปิด On-Site 18,672 แห่ง จากทั้งหมด 35,172 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 53.09 และจากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาหลายแห่ง สิ่งที่พบคือ สถานศึกษามีการปรับตัวและกวดขันในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดกันอย่างแข็งขัน แต่แน่นอนว่ายังมีอีกหลายแห่งที่ยังขาดความพร้อม ซึ่งก็ได้ติดตาม และสั่งการให้ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้ดูแลสถานศึกษาเหล่านี้อย่างใกล้ชิด 

                               “ตรีนุช”ให้สิทธิพื้นที่เปิด-ปิดโรงเรียนตามบริบทการแพร่ระบาดโควิด-19

และเมื่อมีการแพร่ระบาดของโอมิครอน จึงเป็นอีกวาระสำคัญที่ ศธ. และ สธ.ได้ร่วมมือกันสร้างการรับรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องถึงแนวโน้มความรุนแรงของโอมิครอน และกำชับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโอมิครอนในสถานศึกษาอย่างเข้มข้น เพื่อให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกสถานการณ์ รวมถึงความพร้อมที่จะเปิด On-Stie ของทุกโรงเรียนเมื่อมีความปลอดภัย”นางสาวตรีนุช กล่าว   

 

สำหรับมาตรการความปลอดภัย 6 มาตรการหลัก (DMHT-RC) ได้แก่ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ คัดกรองวัดไข้ ลดการแออัด และทำความสะอาด  ส่วน 6 มาตรการเสริม (SSET-CQ) ประกอบด้วย ดูแลตนเอง ใช้ช้อนกลาง กินอาหารปรุงสุกใหม่ ลงทะเบียนเข้าออกโรงเรียน สำรวจตรวจสอบ และกักกันตัวเอง 

 

และแนวทาง 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา ได้แก่ การประเมิน TSC+ รายงานผลผ่าน MOE COVID อย่างต่อเนื่อง, การทำSmall Bubble สำหรับกิจกรรมแบบกลุ่มย่อย, การจัดอาหารตามหลักสุขาภิบาลอาหารและหลักโภชนาการ, การอนามัยสิ่งแวดล้อม ทั้งอากาศ ความสะอาด น้ำ ขยะ , การทำ School Isolation โดยมีแผนเผชิญเหตุและซักซ้อม, การทำ Seal Route ดูแลการเดินทางจากบ้านไปกลับโรงเรียน และการจัดให้มี School Pass สำหรับนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษา