“โอมิครอน” จะไม่มาแทน “เดลต้า” แต่จะมาร่วมกันทำลายมนุษย์

15 ธ.ค. 2564 | 04:34 น.

หมอมานพ ปลุกคนไทย ตื่นตัวถานการณ์ “โอมิครอน” จะไม่มาแทน สายพันธุ์ “เดลต้า” แต่อาจจะมาจับมือกันจนเกิดเป็นเคส Twin pandemic

จากสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าที่ดูจะไม่จบลงง่ายๆ ทั้งสถานการณ์ Omicron ที่มีการพัฒนาสายพันธุ์ ทั้งยังเพิ่งได้คร่าชีวิตไปแล้วรายแรกในสหราชอาณาจักร เมื่อ 13 ธ.ค. 64 ที่ผ่านมา

 

ด้าน ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะ แพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว manopsi เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.64 ที่ผ่านมา ระบุว่า 

 

“ใครที่หวังว่า Omicron จะมาแทน Delta แล้วคนจะป่วยหนักน้อยลงขอให้ตื่นนะครับ สถานการณ์ใน EU UK และ US ตอนนี้มีแนวโน้มสูงที่ Omicron จะจับมือกับ Delta มากกว่าแข่งกัน แม้สัดส่วน Omicron จะเพิ่มแต่ Delta ไม่ลด

 

Twin pandemic จะทำให้เคสใหม่สูงขึ้นเร็ว ป่วยหนักและเสียชีวิตจะเพิ่มตามมา

 

ทั้งนี้ หมอมานพ ยังได้อธิบายเหตุผลของความร่วมมือ “โอมิครอน” และ “เดลต้า” โควิด 2 สายพันธุ์ จนเกิดเป็น Twin pandemic  ไว้อีกด้วยว่า

 

ก่อนหน้านี้เราเคยเชื่อว่า variant ใหม่ที่เก่งกว่า น่าจะเบียด variant เจ้าถิ่นเดิมให้ตกเวทีหายสาปสูญไป แบบที่เราเห็น Alpha ทำกับ original strain และ Delta ทำกับ Alpha 

 

แต่ Omicron อาจเป็น variant แรกที่ไม่จำเป็นต้องเบียด Delta ให้หายไปแต่อยู่ระบาดร่วมกัน

 

ประเด็นสำคัญอยู่ที่คุณสมบัติของ Omicron เมื่อเทียบกับ Delta ตามรูปนี้ และทวิตก่อนหน้านี้ว่า เหตุที่ Omicron สามารถระบาดเร็วในแอฟริกาใต้ เรารู้แล้วว่าปัจจัยหนึ่งคือดื้อภูมิมาก แต่แพร่เก่ง (transmissibility) กว่า Delta ไหมยังไม่รู้

 

“โอมิครอน” จะไม่มาแทน “เดลต้า” แต่จะมาร่วมกันทำลายมนุษย์

มีหลายการศึกษายืนยันว่า Omicron ดื้อมาก ดื้อ antibody เดิมไม่ว่าจากติดเชื้อหรือวัคซีน เพราะ spike มีการกลายพันธุ์สูงมาก สูงจน spike antigen ฉีกห่างมาก (ห่างกว่า Beta อีก) 

 

เมื่อ antibody เดิมกัน Omicron ไม่ได้ มีโอกาสสูงที่ antibody ต่อ Omicron ก็กัน variant อื่นไม่ได้เช่นกัน

 

“โอมิครอน” จะไม่มาแทน “เดลต้า” แต่จะมาร่วมกันทำลายมนุษย์

 

โมเดลของ Trevor Bedford แสดงให้เห็นว่า ถ้า Omicron ดื้อภูมิจาก Delta ไม่มาก (สมมติแค่ 33%) แสดงว่า Omicron ระบาดเก่งกว่า Delta เพราะแพร่เร็วเป็นหลัก (R สูง) ซึ่งจะทำให้ Delta สาปสูญไปแบบที่เคยเกิดกับ Alpha หรือ original strain 

 

แต่ข้อมูลปัจจุบัน ไม่ได้สนับสนุน scenario นี้

 

“โอมิครอน” จะไม่มาแทน “เดลต้า” แต่จะมาร่วมกันทำลายมนุษย์

 

เนื่องจากข้อมูลการทดสอบในแลป และข้อมูลประสิทธิผลจริงของวัคซีนจาก UK ยืนยันว่า Omicron ดื้อมาก ดังนั้นโมเดลของการแพร่เชื้อในชุมชนในกรณีที่มี Delta อยู่เดิม มีแนวโน้มออกมาอย่างใดอย่างหนึ่งดัง 2 รูปนี้

 

โมเดลแรก ถ้า Omicron ดื้อเก่งเป็นหลัก การระบาดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ Delta เดิม จะพบเคสใหม่พุ่งขึ้นเร็วมากและส่วนใหญ่เป็นจาก Omicron สัดส่วน Delta จะลดลงมาก แต่เคสจะลดเร็วและ Delta จะฟื้นกลับมาใหม่เป็น baseline เพราะภูมิต่อ Omicron ป้องกัน Delta ไม่ได้

 

“โอมิครอน” จะไม่มาแทน “เดลต้า” แต่จะมาร่วมกันทำลายมนุษย์

 

โมเดลที่ 2 ถ้า Omicron ดื้อบางส่วน และแพร่เก่งพอ ๆ กับ Delta ช่วงระบาดแรกจะไม่ต่างกับโมเดลที่แล้ว คือเคสใหม่จะพุ่งเร็วมากจาก Omicron แล้วจะลดลงเร็วและไม่หายไป แต่ระบาดคู่กับ Delta ไปเรื่อย ๆ เพราะทั้งคู่มี transmissibility ใกล้เคียงกัน และภูมิยับยั้งเชื้อตัวหนึ่งไม่มีผลต่ออีกตัว

 

“โอมิครอน” จะไม่มาแทน “เดลต้า” แต่จะมาร่วมกันทำลายมนุษย์

ผลที่ตามมาคือ เมื่อ Omicron wave มาถึงจะเกิดการระบาดสูงขึ้นเร็วมาก เคสใหม่ส่วนใหญ่จะมาจาก Omicron แล้วจะลดลงอย่างรวดเร็วเช่นใน 2-3 เดือนแต่ไม่หมดไปโดย Delta จะกลับมาใหม่ และระบาดคู่วนเวียนไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยจนกว่าจะปูพรมวัคซีนครอบคลุมหรือมี variant ใหม่เข้ามาสู้

 

เมื่อรวม 3 scenario เข้าด้วยกัน จะได้กราฟความเป็นไปได้แบบนี้ ขึ้นกับว่าคุณสมบัติของ Omicron เป็นแบบใด ข้อมูลเท่าที่มีตอนนี้ มีโอกาสสูงที่จะออกสีเทามากกว่าสีอื่น

 

“โอมิครอน” จะไม่มาแทน “เดลต้า” แต่จะมาร่วมกันทำลายมนุษย์

 

ปรากฏการณ์ co-dominant ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เกิดอยู่แล้วกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่การระบาดของ influenza virus เกิดพร้อมกันได้หลายสายพันธุ์ เป็นที่มาของการฉีดวัคซีน 3-4 สายพันธุ์ทุกปี

 

ดังนั้นอย่าแปลกใจว่าต่อไป SARS-CoV-2 ก็อาจเป็นแบบนี้ในอนาคต

 

“โอมิครอน” จะไม่มาแทน “เดลต้า” แต่จะมาร่วมกันทำลายมนุษย์