สธ.เปิดผลศึกษา“นักเรียนฉีดวัคซีนไฟเซอร์” 2 เข็ม ภูมิสูงป้องกันเดลต้าได้

21 ต.ค. 2564 | 11:27 น.

สธ.เผยผลศึกษา “นักเรียนฉีดวัคซีนไฟเซอร์” ครบ 2 เข็ม มีประสิทธิภาพป้องกันสายพันธุ์เดลต้า ได้มากกว่า 1 เข็ม ส่วนภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเด็กหลังรับวัคซีนพบน้อยมาก ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ความคืบหน้าจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ที่ได้ประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ ผู้แทนสมาคมวิชาชีพหลากหลาย เช่น สมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย มีความเห็นตรงกันและแนะนำให้เด็ก 12-18 ปี ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้ครบ 2 เข็ม

 

โดยสมาคมโรคติดเชื้อเด็ก และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้รายงานผลการศึกษาระดับภูมิคุ้มกันในเด็กวัยรุ่นไทย 12 ถึง 18 ปี พบว่า ต้องฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม จึงจะมีระดับภูมิคุ้มกันเพียงพอต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า

 

โดยผลการฉีด 1 เข็ม ไม่สามารถป้องกันสายพันธุ์เดลต้าได้ ซึ่งมีระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีดไม่ถึงระดับที่ป้องกันโรคได้ สอดคล้องกับผลการทบทวนประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 ของวัคซีนไฟเซอร์ในผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อสูงถึงร้อยละ 94 และหากฉีดเข็มเดียวภูมิคุ้มกันเหลือเพียงร้อยละ 52

 

ส่วนการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเด็ก ของประเทศไทยพบน้อยมาก มีเพียง 10 ราย จากที่มีการฉีดไปแล้วกว่า 2,000,000 ราย ทุกรายมีอาการไม่รุนแรง และรักษาหายเป็นปกติเกือบทั้งหมดซึ่งต่ำกว่าในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากเด็กติดเชื้อโควิด โอกาสที่จะเกิดกลุ่มอาการ MIS C และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ จากการติดเชื้อโควิดมีมากกว่ารับวัคซีนไฟเซอร์ และฟื้นตัวช้ากว่า

 

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก ได้ให้คำแนะนำการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือเข็ม 3 ต่างชนิดกัน ซึ่งไทยได้มีการดำเนินการไปแล้ว สอดคล้องกับคำแนะนำองค์การอนามัยโลก ซึ่งเห็นชอบให้ประเทศไทยมีการกระตุ้นเข็ม 3 ในรูปแบบต่างชนิดกัน หลังรับวัคซีนเชื้อตายไปแล้ว เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

 

ส่วนคนที่ฉีดวัคซีนซีโนฟาร์ม 2 เข็มไปแล้วนั้น เมื่อวานนี้ได้มีการหารือ ทางคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค แนะนำในหลักการให้วัคซีนเข็มกระตุ้นในผู้ที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนาก้า หรือไฟเซอร์ ซึ่งในกลุ่มนี้จะเริ่มรับวัคซีนเข็มที่ 3 ได้ปลายเดือนพฤศจิกายนหรือ ธันวาคม  ซึ่งขอให้ทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ชี้แจงข้อมูลทางวิชาการอย่างเป็นทางการมายังกระทรวงสาธารณสุขก่อนประกาศให้ประชาชนกลุ่มนี้เข้ารับวัคซีน

 

ปลัด สธ.ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ล่าสุด มีการฉีดเพิ่ม 915,956 โดส ทำให้ยอดสะสมการฉีดวัคซีนอยู่ที่ 68,503,058 โดส / เข็ม1 ฉีดไปแล้ว 39,039,849 ราย คิดเป็นร้อยละ 54 / เข็ม2 27,405,800 ราย คิดเป็นร้อยละ 38 / เข็ม3 2,057,409 ราย

 

“ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย โดยอัตราการฉีดวัคซีนในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนพื้นที่ที่มีความจำเพาะนำร่องในการท่องเที่ยว การฉีดวัคซีนได้ตรงตามเป้าหมาย คาดว่าสิ้นปี 2564 ประเทศไทยจะสามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ครอบคลุม 100 ล้านโดส”

 

โดยวันนี้วัคซีนไฟเซอร์ เข้ามาเพิ่มอีก 1 ล้าน 5 แสนโดส ขณะที่วัคซีนซิโนแวคเหลืออีก 2 ล้านโดส จะทยอยเข้ามาในเดือนตุลาคม