พบว่าสาเหตุสำคัญมาจาก “การเผาผลผลิตทางการเกษตร” มากที่สุด มากกว่าการเผาไหม้ของเครื่องยนต์หรือการเดินเครื่องของโรงงาน รวมทั้งฝุ่นที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารต่างๆ ด้วย โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การก่อสร้างอาคารได้มาตรฐาน มีการควบคุมตรวจตราอย่างเข้มงวดประกอบกับความ
รับผิดชอบของโครงการ
ESCAP มองวิธีการแก้ปัญหาว่าในระยะสั้น รัฐบาลต้องสนับสนุนให้เกษตรกรทำการเกษตรอย่างยั่งยืน ระยะกลาง ทำงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดการเผาผลิตผลทางการเกษตรลง (ส่วนหนึ่งของ PM 2.5 มาจากการเผาผลิตผลทางการเกษตรของประเทศเพื่อนบ้านแล้วลอยเข้ามาในประเทศเรา) ส่วนในระยะยาวนั้น ต้องลดการปล่อยควันพิษของโรงงานลง รวมทั้งการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ดีเซลด้วย
ในขณะที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ศึกษาเรื่องมลภาวะทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 และให้คำแนะนำน่าสนใจที่ไม่ต้องพึ่งพิงภาครัฐก็ทำเองได้เพื่อป้องกันตัวเอง ครอบครัวและคนในสังคมจากฝุ่นละอองเล็กๆในอากาศ นั่นคือการปลูกต้นไม้ที่สามารถดักจับฝุ่นได้ อย่างเช่น มะม่วง มะขาม ขนุน ฯลฯ
นายธัชพล สุนทราจารย์ ภูมิสถาปนิกจากบริษัท แลนด์สเคป คอลลาบอเรชั่น จำกัด ได้เปิดเผยถึงการใช้ประโยชน์จากต้นไม้ที่ไม่เพียงให้ร่มเงาช่วยลดอุณหภูมิของเมืองลงแล้ว ยังช่วยดักจับฝุ่นที่ฟุ้งกระจายของตัวเมืองได้อีกด้วย
“การพัฒนาอสังหา ริมทรัพย์และการออกแบบที่อยู่อาศัยในตัวเมืองในปัจจุบัน ควรจะให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวที่ไม่เพียงสอดคล้องกับกฎหมายหรือข้อบังคับเท่านั้น แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์คุณภาพสังคมเมือง การเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ ซึ่งจากการสำรวจแล้วพบว่าแต่ละคนมีพื้นที่สีเขียวเพียงคนละ 3.3 ตารางเมตร เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเมือง พร้อมๆ กับการช่วยแก้ปัญหาเรื่องฝุ่นได้ด้วย”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“จากการค้นคว้าของเราผ่านการศึกษาบทความจากมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่ามีต้นไม้หลายชนิด อาทิ ทองอุไร ตะขบฝรั่ง แคแสด อินทนิล ตะแบก มีคุณสมบัติดักจับฝุ่นที่ลอยมาในอากาศ เนื่องจากมีจำนวนใบเยอะและมีลักษณะเรียว ต้นไม้มีใบหนา ผิวของใบมีความหยาบ มีขนละเอียด ช่วยดักฝุ่นให้จับกับใบไม่ฟุ้งลอยไปในอากาศ ยิ่งปลูกกันมากเท่าไหร่ ก็เหมือนกับมีเครื่องฟอกอากาศติดไว้ทั่วเมืองครับ” ภูมิสถาปนิกหนุ่มกล่าว
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 หน้า 24 ฉบับที่ 3,662 วันที่ 18 - 20 มีนาคม พ.ศ. 2564