"วีระศักดิ์" รำลึก“ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” 33ปี แห่งความทรงจำ

12 มิ.ย. 2563 | 02:41 น.
อัปเดตล่าสุด :12 มิ.ย. 2563 | 10:20 น.

“วีระศักดิ์ โควสุรัตน์” รำลึก “ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” 33ปี แห่งความทรงจำ เผย อ.โต้ง เป็นตำนานอีกคนของตระกูลชุณหะวัณ ที่น่าจดจำ นักนิยมงานศิลปะและดนตรี ผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการอันน่าตึงเตรียดทางการเมืองด้วยความอารมณ์ดี

          หลังการเสียชีวิตของ "ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ" บุตรชาย "พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ" อดีตนายกรัฐมนตรี  เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน2563 จากโรคมะเร็ง ในวัย 72 ปี หลังรักษาตัวมานานกว่า 4 ปี  สร้างความอาลัยแก่คนรู้จักและใกล้ชิดเป็นอย่างมาก 

ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ
          โดย "วีระศักดิ์ โควสุรัตน์"  สมาชิกวุฒิสภา และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้แสดงความรำลึกถึง “ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” เมื่อวันที่  11 มิถุนายน 2563 ถึง ความทรงจำที่ได้รู้จักกันมากว่า 33 ปี  โดยกล่าวว่า  อ.ไกรศักดิ์ อ.โต้ง หรือ พี่โต้ง เป็นผู้ที่ผมได้สัมผัสตั้งแต่ปี2531 เมื่อ อ.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ซึ่งผมเป็นผู้ช่วยวิจัยและเลขานุการวิชาการ มาตั้งแต่ขณะที่ผมยังเรียนกฏหมายอยู่ชั้นปีที่สาม ได้กำหนดให้ผมตามท่านมาช่วยทำงานต่ออีกที่ "บ้านพิษณุโลก" ทุกวันหลังเสร็จจากการเรียนปีสี่ที่คณะนิติศาสตร์จุฬา

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์

          ที่บ้านพิษณุโลก ผมจึงได้รู้จักกับมรว.สุขุมพันธ์ บริพัตร อ.ชวนชัย อัชนันท์ อ.ณรงค์ชัย อัครเศรณีและมีอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรโณ ที่ผมเรียนวิชากฏหมายมรดกกับท่านมาก่อนแล้วตั้งแต่อยู่ที่คณะนิติศาสตร์จุฬาตอนปีสาม และแน่นอน ได้พบคุณพันธ์ศักดิ์ วิญญรัตน์ และอาจารย์โต้ง ไกรศักดิ์ ชุณหวัณ ซึ่งมักจะนั่งใช้ความคิดอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยกันแทบทั้งวัน ทุกวัน

          อาจารย์โต้งเป็นคนอารมณ์ดีเสมอ เกรงใจพวกเด็กๆเจ้าหน้าที่ๆมาทำงานในบ้านพิษณุโลกทุกคนสำเนียงอ.โต้งจะช้าๆนุ่มๆพอๆกับน้ำหนักตัว และด้วยความเป็นนักนิยมงานศิลปะและดนตรี ด้วยอ.โต้งจึงมีท่าทีผสมผสานแบบนักคิดแนวเซอร์ๆ จึงไม่มีใครต้องหวั่นกลัวชายมีหนวดและดวงตากลมโตผิวคล้ำคนนี้ มีแต่ชื่นชอบและอยากเข้าไปสนทนาหาความคิดที่แยบคาย และขี้เล่นของท่านเสมอ

          แต่ที่ชัดเจนที่สุดสำหรับผมคือ ความสนใจที่จะปกป้องคุ้มครองคนตัวเล็กๆที่ไร้อำนาจต่อรองเช่น กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มคนไร้สัญชาติ คนไร้ที่พึ่งตามชายขอบ ผู้ใช้แรงงานฯลฯของอ.โต้ง

          อ.โต้งสนใจเรื่องป่า น้ำ ภูเขา ทะเล สัตว์ป่า สิ่งแวดล้อมสนใจประเทศที่ยังยากจน และห่วงผู้อพยพจากภัยต่างๆ

          ทูตต่างประเทศ นักวิชาการ นักวิจัย และเอนจีโอกลุ่มนั้นนี้แวะเวียนมาเข้าพบกับอ.โต้งทุกวัน

          บางครั้งผมมีเวลาก็ถูกชวนให้นั่งฟังการสนทนาไปด้วย จึงสัมผัสได้เสมอ ว่าอ.โต้งจริงใจ ทุ่มใจ ให้ประเด็นเหล่านี้แบบไม่มีวอกแวก
 

          ครั้นพอบ่ายแก่ๆ ทีมที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่มีเงินเดือนอะไรจากทางการก็จะทยอยมาถึง และแบ่งกันรับประเด็นหรือนำประเด็นที่ไปขบคิด มาวิเคราะห์กันในรูปการสนทนา แล้วต่างก็แยกไปผลิตเอกสารย่อประเด็นมาเพื่อใส่แฟ้มเตรียมนำไปเสนอให้ท่านนายกฯชาติชายที่บ้านราชครูต่อช่วงเย็นค่ำ บางครั้งผมก็ไปด้วยจนดึก

          อ.โต้ง เอาจริงเอาจังกับการนำทีมบรีฟนายกฯชาติชายมาก บ่อยครั้งที่ต้องรอจนค่ำ ดังนั้น นอกจากที่บ้านพิษณุโลกแล้ว บ้านอ.โต้งซึ่งอยู่เรือนคนละหลังกับเรือนตึกของนายกฯชาติชายจึงเป็นอีกที่หนึ่งที่มีทั้งพวกเราจากบ้านพิษณุโลกและทีมศิลปินแนวชีวิต เอนจีโอและนักคิดจากต่างทิศและต่างถิ่นมานั่งปนๆกันอยู่เสมอ

          วันหนึ่ง พลเอกชาติชาย ตัดสินใจเคลียร์ความไม่ลงตัวในครม.ด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อกลับมาจัดรัฐบาลใหม่

          ทีมบ้านพิษณุโลกซึ่งเคยส่งผมไปดำรงตำแหน่งเลขานุการประธานวุฒิสภาในเวลานั้น ก็เลยต้องได้รับบทหนักในการรับลูกต่อเพราะประธานวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญขณะนั้นเป็นฉบับปี2521 ซึ่งกำหนดให้ประธานวุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภา ผมจึงมีหน้าที่รับเอกสารที่มีลายเซ็นของสส.เกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฏรเวลานั้นมาดำเนินการต่อให้เรียบร้อยร่วมกับเลขาธิการรัฐสภาเพื่อส่งขึ้นให้ประธานรัฐสภา(รตต.วรรณ ชันซื่อ)นำความขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่

          สมัยนั้นผู้ใหญ่เกรงว่าจะมีใครมาทำอะไรให้ประธานรัฐสภาไม่ปลอดภัยหรือกดดันให้ท่านไม่สามารถทำหน้าที่สำคัญนี้ได้

          บ้านส่วนตัวของอ.โต้งก็จึงถูกขอใช้เป็นที่พักรอลับๆของท่านประธานรัฐสภาโดยมีผู้จัดการรัฐบาลอย่างท่านบรรหาร ศิลปอาชาและทีมบ้านพิษณุโลกบางท่านเท่านั้นที่ได้รับสิทธิพิเศษให้มาอยู่ด้วยก่อนถึงเวลานำเอกสารสำคัญเดินทางไปเข้าเฝ้าฯที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

          อ.โต้งจึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการอันน่าตึงเตรียดทางการเมือง ด้วยความอารมณ์ดี อีกเรื่องให้พวกเราที่เคยเกี่ยวข้องได้เอามาคุยระลึกกันอีกในช่วงสามสิบปีหลังด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม
 

          นั่นคือฉากจำแรกที่สามสิบปีผ่านไป ผมก็ยังไม่เคยลืม ตัดฉากมาอีกทีก็ตอนอ.โต้งช่วยท่านพลเอกชาติชายทำพรรคชาติพัฒนาที่แยกออกมาจากพรรคชาติไทย ผมยังได้รับความเมตตาชวนมานั่งคิดนั่งคุยในฐานะน้องเก่าจากทีมเด็กบ้านพิษณุโลกต่อไป

          แต่คราวนี้มักย้ายฐานมาอาศัยใช้สำนักงานที่อาคารเป็นตึกคอนกรีตชื่อ ลาเมซอง ที่นั่น อ.โต้งก็ยังมีแขกกลุ่มที่ทำงานกับนักต่อสู้เพื่อคนไร้เสียงมาแลกเปลี่ยนสนทนาเช่นเคย

          ตกเย็นก็มักไปที่เรือนส่วนตัวของอ.โต้ง เล่นดนตรีกันเป็นวงจนดึก มีทูตอเมริกัน สคิปป์ บอยซ์ มีคุณเกียรติ สิทธีอมร เป็นอาทิ ซึ่งผมมักปลีกตัวหลบกลับบ้านก่อนเพราะมีงานเช้าตรู่รออยู่เสมอ

          คนต่างวัย หัวใจจากต่างพรรค แต่ล้วนเป็นพวกเดียวกัน มาทำให้บ้านอ.โต้งเป็นเหมือนเขตปลอดศัตรูทุกคนมาจากต่างฐาน แต่มาอย่างมิตรทั้งสิ้น

          ในราวสิบสามปีก่อนผมเคยเป็นทั้งสส.ฝ่ายค้านร่วมกับอ.โต้ง (ขณะนั้นอาจารย์เป็นหนึ่งในผู้บริหารของพรรคประชาธิปัตย์)

          ผมจึงมีโอกาสได้นั่งใกล้อ.โต้งในสภาอีกบ่อยๆ บางครั้งแม้ผมกลายเป็นสส.ฝ่ายรัฐบาลไป แต่เราก็ยังสามารถนั่งข้างกันในสภาได้โดยไม่รู้สึกแตกต่าง อ.โต้งยังคงอารมณ์ขันแต่หนักแน่นด้วยควมห่วงใยคนไร้เสียงไร้พลังนอกสภาเสมอ

          ฉากนี้แม้ห่างจากฉากแรกกว่ายี่สิบปี แต่สิ่งที่เหมือนเดิมตลอดคือ ความอบอุ่นจริงใจและความเกรงอกเกรงใจแต่มั่นคงทางความคิดความห่วงใยให้กลุ่มผู้ไร้เสียง

          ตัดฉากอีกที ก็คือการได้ไปสนับสนุนให้กำลังใจอ.โต้งที่หอศิลป์กทม.ที่อ.โต้งพยายามผลักดันให้เกิดมาตั้งแต่ยุคพลเอกชาติชายจะเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ เพิ่งมาสำเร็จตอนอ.โต้งเป็นประธานที่ปรึกษาผู้ว่ากทม.

          ผมเป็นเลขาธิการสมาพันธ์สมาคมภาพยนต์แห่งชาติที่เคยเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีวัฒนธรรมมาก่อนจึงมีเหตุและมีสาระที่มาสนทนาแลกเปลี่ยนทรรศนะกับอ.โต้งและทีมได้ต่อ เห็นได้ชัดว่าอ.โต้งก็ยังคงเมตตาและเอาใจใส่ดูแลและช่วยเหลือเหล่าศิลปินและคนรักศิลปะอย่างอบอุ่นเช่นเคย

          ตัดฉากท้ายมาที่ การไปเยี่ยมอ.โต้งพร้อมอ.สุรเกียรติ์เมื่อทราบว่าอาการทรุดลง  โดยพี่ชัชวาลและคุณโจ้ช่วยประสานเวลานัดเยี่ยมให้

          แม้อ.โต้งจะส่งเสียงพูดคุยไม่ถนัดแล้วแต่สายตาและท่าทีก็ยังเปล่งประกายแห่งความอบอุ่นเมตตาเหมือนเดิม

          หูของอ.โต้งยังชอบฟังเรื่องราวของการต่อสู้เพื่อความยั่งยืน มือของอ.โต้งยังคงโบกเบาๆอย่างนุ่มนวลให้กำลังใจแก่คนที่สุขภาพแข็งแรงกว่าให้กลับออกไปสู้ต่อ ทำต่อในแนวทางที่เป็นธรรมเป็นประโยชน์แก่ผู้ยากลำบากและไร้เสียง ไร้อำนาจต่อไป

          ผมรู้สึกขอบคุณชะตาชีวิตที่ทำให้ได้มาเข้าใกล้ จึงได้ร่วมรับรู้ชุดความคิดและการแสดงออกอย่างอบอุ่นสม่ำเสมอของอ.โต้ง ชายผู้เป็นหลานแท้ๆของจอมพลผู้เเข็งกล้า ลูกชายคนเดียวของนายกรัฐมนตรีผู้เป็นที่ยกย่องอย่างยิ่งในทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ

          อ.โต้งเป็นตำนานอีกคนของตระกูลชุณหะวัณ ที่น่าจดจำ  แม้เย็นนี้ อ.โต้งจากไปอย่างสงบแล้ว แต่ความสุภาพอ่อนโยนจริงใจ และความเอาใจใส่ในผู้มีน้อยกว่า ของอาจารย์ จะเป็นดั่งครูของพวกเรา ที่ติดตาประทับใจไปในฐานะตำนานให้ฝึกตาม ขอให้ความดีงามที่อาจารย์ได้มอบไว้ต่อสังคมคนยากไร้และความจริงใจอบอุ่นที่มอบแด่มิตรทุกสายได้คุ้มครองส่งอาจารย์ให้ไปอย่างสุขและสบายในแดนสุขาวดีที่งดงาม

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง