จากนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล กำลังถูกขับเคลื่อนให้เกิดเป็นรูปธรรม ด้วย BCG Model ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้มอบหมายหน้าที่ส่วนหนึ่งให้กับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ กระทรวง อว. ซึ่ง “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ บอกว่า การจะเดินหน้าสู่จุดหมาย การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จะใช้ BCG โมเดล เป็นกลไกขับเคลื่อน (Engines of Growth) ผ่านการสร้าง Manpower และ Brainpower โดยนำ Data Driven หรือ ตัวเลขและข้อมูล เป็นฐานสำคัญ
BCG โมเดลที่ว่านี้ คือ Bio Economy, Circular Economy และ Green Economy ที่จะส่งผลให้ทั้งภาคเกษตร อาหาร การแพทย์ สาธารณสุข พลังงาน ท่องเที่ยว ภาคบริการ ครีเอทีฟ อีโคโนมี ซึ่งจะยกระดับและสนับสนุนให้ประชากรกว่า 20 ล้านคนของประเทศ ที่อยู่ในโมเดลนี้ เติบโตและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจฐานรากขยับ เกิดการพัฒนาเชิงพื้นที่ เกิดการสร้างเมืองใหม่ๆ ทำให้พื้นที่ใกล้บ้านมีงานทำ ขณะเดียวกันก็ต้องลดความเหลื่อมล้ำต่างๆ ลงด้วย โดยการลงทุนครั้งใหญ่ ต่อจากนี้จะไม่ได้เกิดในอุตสาหกรรม แต่เป็นการลงทุนการสร้างเมืองเป็นสำคัญ
ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยนั้น ได้มีการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมสร้างสรรค์ขึ้น 9 แห่ง
18 สาขาโดยเครือข่ายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อดำเนินการพัฒนา ต่อยอด และสร้างสรรค์ชิ้นงานบนพื้นฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น ทรัพยากรทางธรรมชาติและความคิดสร้างสรรค์ อันนำไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยมีบทบาทสำคัญในการฝึกอบรมและพัฒนาตลอดจนให้คำปรึกษากิจกรรม การพัฒนาและจัดทำฐานข้อมูล มีขอบเขตงาน 3 ด้าน ได้แก่
1. ด้าน Premium OTOP ทำผลิตภัณฑ์หัตถกรรมที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นต่อยอดด้วยนวัตกรรมที่ได้จากการวิจัย เช่น กรณีโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าออนไลน์ผ้าม่อฮ่อมย้อมครามสีธรรมชาติของกลุ่มทอผ้าไทยพวนบ้านทุ่งโฮ้ง จ.แพร่ โดย ดร.รชพรรณ ฆารพันธ์ ม.เชียงใหม่
2. ด้านการบริการคุณค่าสูง (High Value Services) เพื่อต่อยอด ให้เกิดการจ้างงานและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวพุน้ำร้อนเค็มคลองท่อมสู่การเป็น High Value Service โดย ศ.ดร.ธวัชชัย ศุภดิษฐ์ ม. วลัยลักษณ์
3. ด้าน Start Up ใช้นวัตกรรมงานวิจัยในสถาบันอุดมศึกษาไปหนุนเศรษฐกิจชุมชนและสร้างผู้ประกอบการใหม่ เช่น การพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรมกระเบื้องโบราณเชิงอนุรักษ์ โดย ผศ.ดร.สุธี วัฒนศิริเวช ม. แม่ฟ้าหลวง
ทั้งนี้ รศ.ดร.ศิวฤทธิ์ พงศกรรังศิลป์ สาขาการตลาด ม.วลัยลักษณ์ หัวหน้าโครงการประชาสัมพันธ์ Innovation Hubs เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานนวัตกรรมของประเทศ ตามนโยบาย 4.0 กลุ่มเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ได้รับทุนสนับสนุนจากอุทยานวิทยาศาสตร์ ม.ขอนแก่นภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ศูนย์นวัตกรรมสร้างสรรค์มีเป้าหมายที่สำคัญคือ การขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง บนฐานแนวคิดประเทศไทย 4.0 เน้นต่อยอดภูมิปัญญา เพื่อสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าเพราะ คุณค่า ไม่ใช่แค่มูลค่า จึงต้องเปลี่ยนวิธีคิด ดังนี้
1. “ขายให้ได้ก่อนการผลิต”
2. ส่งมอบ “ประสบการณ์” ไม่ใช่สถานที่
3. สร้างตราสินค้าก่อนที่ทำการตลาด
“จากที่ผมได้พัฒนาแบรนด์จำนวนมาก เชื่อว่าการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 หนีไม่พ้นความคิดสร้างสรรค์ ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการติดต่อประสานงาน เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์มีมูลค่าให้กับผู้บริโภค” รศ.ดร.ศิวฤทธิ์ กล่าว
“สุวิทย์” กล่าวอีกว่า โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว สิ่งที่เราต้องเปลี่ยนคือ ระดับอุดมศึกษา จะเรียนรู้แบบตืื้นๆ ไม่ไ่ด้ ใช้สมองอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีเรื่องของการลงมือทำ เพื่อให้เกิดประสบการณ์ กล้าลองผิด เมื่อผิดต้องเรียนรู้ และเดินหน้าต่ออย่างรวดเร็วด้วยทักษะ สมรรถนะ และประสบการณ์
วันนี้เราต้องการคนที่สมาร์ท ไม่ใช่คนที่ทำใหญ่ เราต้องการเอสเอ็มอี ที่เป็น IDE-Innovation-Driven
Enterprise คือ ธุรกิจที่ผู้ประกอบการมุ่งเน้นนวัตกรรม แม้จะเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยง แต่ขณะเดียวกันก็มีความทะเยอทะยานมาก ทำให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างสร้างสรรค์ โดย Creative
Entrepreneur และ Social Entrepreneur
หน้า 24 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,516 วันที่ 24 - 26 ตุลาคม พ.ศ. 2562