WP เปิดกลยุทธ์ปี 62 ปักธงเป็นผู้นำธุรกิจพลังงานครบวงจร

WP เปิดแผนธุรกิจปี 62 เล็งขยายธุรกิจทั้งกองเรือขนส่ง LPG การผลิตถังก๊าซ LPG ร่วมทุนพันธมิตรต่อยอดธุรกิจหลัก พร้อมรุกขยายตลาดในกลุ่ม CIMV คาดปริมาณการขาย LPG  ปีนี้ 8.4 แสนตัน โตเฉลี่ย 2.5%

 

นางสาวชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (WP) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจปี 2562 ว่า บริษัทฯ เน้นให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจไปสู่การเป็นผู้นำธุรกิจพลังงานอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ  ซึ่งธุรกิจที่บริษัทฯ ให้ความสนใจเข้าลงทุนเพิ่มนอกเหนือจากธุรกิจจัดจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) คือ กองเรือขนส่ง LPG การผลิตถังก๊าซ LPG คลังเก็บ และบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวแห่งใหม่ และการร่วมกับ บจก.ไทยแก๊ส เพื่อขยายฐานลูกค้า

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนใหม่ (CLMV) อาทิ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากมองว่ากลุ่ม CLMV เป็นตลาดที่ยังขยายตัวได้อีกมาก เพราะยังมีความต้องการใช้ก๊าซ LPG ค่อนข้างสูง ทั้งในภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรม

ปัจจุบัน WP มีส่วนแบ่งการตลาดยอดขายก๊าซในประเทศ ภายใต้แบรนด์ "เวิลด์แก๊ส" เป็นอันดับ 2 หรือคิดเป็น 18% (รองจาก ปตท.)  ซึ่งจะทำให้ภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งและมั่นคงอย่างมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น

"บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อต่อยอดรายได้และสร้างฐานธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งและมั่นคง เพราะการจะเป็นผู้นำพลังงานครบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงแลายน้ำ นั่นหมายถึงเราต้องขยายซัพพลายเซนครอบคลุมให้ได้ก่อน"

สำหรับแนวโน้มปริมาณการขายก๊าซ LPG ปี 2562 บริษัทฯ คาดว่าจะอยู่ในระดับ 8.4 แสนตัน (เทียบปี 60 ที่ 8.17แสนตัน) เติบโตประมาณ 2.5% โดยประเมินการใช้ก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง น่าจะหดตัวราว 3-5% ส่วนการใช้ภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรมน่าจะเติบโตได้ประมาณ 3-5% โดยปริมาณการขายปีนี้เป็นภาคครัวเรือน 55% ปั๊มบริการกว่า 800 แห่ง อีก 26% ภาคอุตสาหกรรม 10% และอื่น ๆ อีก 10%

นายสุทัศน์ นิติกรไชยรัตน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาธุกิจ กล่าวถึงการลงทุนในธุรกิจกองเรือขนส่ง ว่า บริษัทมีพันธมิตรเป้าหมายแล้ว หลังเข้าบอร์ดแล้ว ปีนี้น่าจะมีความชัดเจนให้เห็น

ขณะที่ แผนขยายฐานลูกค้าในกลุ่มตลาด CIMV บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตร ทั้งสิงคโปร์และพม่า โดยที่ประเทศสิงคโปร์จะเน้นเป็น "เทรดเดอร์" มากกว่า ส่วนที่เวียดนามยังอยู่ระหว่างการพิจารณาความคุ้มค่า

 

ปัจจุบัน บริษัทมีกระแสเงินสดรองรับร่วม 1,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอจะรองรับแผนการลงทุนทั้งในเรื่องธุรกิจกองเรือขนส่ง

ผลประกอบการรอบปี 2561 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 14,978.08. ล้านบาท ลดลงจากปี 60 ประมาณ 4.89% และมีกำไรสุทธิรวมกัน 321.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 189.53 ล้านบาท หรือเพิ่ม 143.63% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ สาเหตุที่กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ลงค่อนข้างมาก