มท.เปิดสถิติภัยแล้งกระทบหนักสุด ปี 48 เสียหายกว่า 7.5 พันล้านบาท พื้นที่เกษตรเสียหายกว่า 13.7 ล้านไร่ "กฤษฎา" สั่งเข้มถึงผู้ว่าฯ-นายอำเภอ เร่งตั้งกรรมการ-สำรวจพื้นที่แก้วิกฤติภัยแล้งผวา 12 จังหวัดเสี่ยงวิกฤติขาดน้ำกินน้ำใช้ แต่ยังไม่ประกาศภัยพิบัติ ยันช่วยเหลือประชาชนตามระเบียบ ห้ามเปิดช่องว่างทุจริต ฮึ่ม! 38 จังหวัดยังไม่ได้รับรายงาน
[caption id="attachment_38691" align="aligncenter" width="347"]
กฤษฎา บุญราช
ปลัดกระทรวงมหาดไทย[/caption]
นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงสถานการณ์ภัยแล้งปี 2559 ที่มีแนวโน้มรุนแรงและยาวนานกว่าปกติว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 15 มีนาคม 2559 ยังคงมีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน 15 จังหวัด ใน 60 อำเภอ 278 ตำบล 2.36 พันหมู่บ้าน อย่างไรก็ดีหากพิจารณาสถิติย้อนหลังสถานการณ์ภัยแล้งของประเทศไทยตั้งแต่ ปี 2532 - 2557 จะเห็นว่าในปี 2548 มีพื้นที่ประสบภัยมากสุดจำนวน 71 จังหวัด มีมูลค่าความเสียหายกว่า 7.5 พันล้านบาท
ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบภัยแล้งในปีนี้จึงได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ให้จัดตั้งกองอำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งโดยเร็ว และควรจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการจังหวัด/อำเภอเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อติดตามสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ได้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
นายกฤษฎา กล่าวอีกว่า ที่สำคัญในระดับจังหวัด/อำเภอ ต้องสำรวจปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่จริงในพื้นที่ โดยแยกเป็นข้อมูลน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร ว่ามีอยู่จำนวนเท่าใด และปริมาณน้ำเหล่านั้นสามารถใช้ในพื้นที่จังหวัด/อำเภอได้เป็นระยะเวลานานเท่าใด และหากไม่มีฝนตกลงมาในพื้นที่จนถึงเดือนมิถุนายน 2559 จะมีแนวทางป้องกัน ช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาอย่างไร
"ในกรณีจำเป็นต้องมีการนำน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคไปแจกจ่ายช่วยเหลือประชาชน ควรมีการกำหนดจุดแจกจ่ายและพื้นที่การให้ความช่วยเหลือโดยให้แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้หน่วยงานต่างๆในพื้นที่ช่วยดำเนินการให้ทั่วถึงโดยเร็ว อย่าให้ซ้ำซ้อนกัน และให้แยกพื้นที่เป็นรายหมู่บ้าน ตำบล อำเภอที่ประสบภัยแล้งให้ชัดเจน อย่าให้เกิดช่องทางการหาประโยชน์ในทางทุจริต"
นอกจากนี้ขอให้ประสานงานกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เช่น กรมชลประทาน และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น กรมทรัพยากรน้ำบาดาลในพื้นที่อย่างใกล้ชิดเพื่อขอทราบข้อมูลปริมาณน้ำใต้ดินในพื้นที่ว่า มีพื้นที่ใดที่สามารถขุดเจาะบ่อบาดาลได้บ้าง เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลนำมาช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งการสำรวจแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ เพื่อให้ส่วนราชการและประชาชน ได้ร่วมกันทำเหมืองฝาย ฝายทดน้ำหรือฝายชะลอน้ำ เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในหมู่บ้าน/ชุมชน
"ปัจจุบันได้สั่งการให้ผู้ว่าฯ สำรวจเป็นรายหมู่บ้าน จำนวน 62 จังหวัด (ไม่รวม 14 จังหวัดภาคใต้) ได้รับข้อมูลคาดการณ์ว่าจะขาดน้ำกินน้ำใช้ แต่ยังไม่ได้ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติภัยแล้ง จำนวน 12 จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี สิงห์บุรี ฉะเชิงเทรา ศรีสะเกษ ชัยภูมิ อำนาจเจริญ เชียงราย กำแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ ราชบุรี และสุพรรณบุรี ส่วนจังหวัดที่คาดการณ์ว่าจะไม่ขาดน้ำกินน้ำใช้ 3 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี อ่างทอง และสมุทรสาคร ขณะที่ 38 จังหวัดยังไม่ได้รายงานข้อมูลเข้ามา"
ด้านนายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวถึง งบประมาณในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง แยกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1. งบประมาณที่ใช้ในการยับยั้งหรือป้องกันภัยพิบัติ วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถใช้จ่ายเงินได้โดยไม่ต้องประกาศเขตในรูปแบบการจ้างงานประชาชน และ 2.งบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง)เพิ่มเติม จากเดิมจังหวัดละ 20 ล้านบาท เพิ่มเติมอีกจังหวัดละ 30 ล้านบาท รวมเป็น 50 ล้านบาท เพื่อให้จังหวัดมีความคล่องตัวในการใช้จ่ายเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนต่างๆ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,140 วันที่ 17 - 19 มีนาคม พ.ศ. 2559