ผู้ผลิตข่าวเช้าคึกคักรอชิง ผู้ชมเล็งลุ้นงด‘สรยุทธ’จ้อ

02 มี.ค. 2559 | 12:00 น.
อัปเดตล่าสุด :02 มี.ค. 2559 | 14:55 น.
ชี้ปลด “สรยุทธ” กระทบเรื่องเล่าเช้านี้เรตติ้งร่วง คาดผู้ผลิตรายการข่าวเช้าคึกคักปรับแผนชิงผู้ชม ด้านเอเยนซีซื้อสื่อมั่นใจไม่กระทบรายได้ช่อง 3 เหตุมีรายการและละครอื่นหนุน ขณะที่บอร์ดช่อง 3 มีมติสนับสนุนให้จัดรายการต่อ เพราะคดียังไม่สิ้นสุด ฟากกสทช. หลังประชุมเครียดเรียกผู้บริหารต้นสังกัดเข้าพบ 7 มี.ค. นี้

สำหรับความคืบหน้าล่าสุดหลังจากที่ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดังจากรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้มีความผิดจำคุก 13 ปี 4 เดือนโดยไม่รอลงอาญา แต่ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อต่อสู้คดีระหว่างยื่นอุทธรณ์ ทำให้นายสรยุทธยังคงทำหน้าที่ดำเนินรายการต่อไปได้ แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์พร้อมเรียกร้องให้ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ต้นสังกัดออกมาแสดงจุดยืน ขณะที่ฟากผู้ประกอบการต่างหวั่นวิตกว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้และเรตติ้งหากต้องปลดนายสรยุทธออกจากรายการทันทีและอาจจะเป็น “จุดเปลี่ยน” ต่อการช่วงชิงรายการข่าวเช้า ที่เรื่องเล่าเช้านี้ ครองเรตติ้งในอันดับต้นๆอยู่

นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี เอชดี เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันรายการที่มีนายสรยุทธเป็นผู้ดำเนินรายการจะได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ชมทางบ้านอย่างมาก เชื่อว่าแม้จะเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นเรตติ้งจะไม่ลดลง นอกจากจะถูกถอดออกจากรายการ ซึ่งหากถึงเวลานั้นเชื่อว่าทุกช่องโทรทัศน์จะต้องรีบวางแผนธุรกิจชิงเรตติ้งช่วงเวลาข่าวเช้าแน่นอน
“ส่วนตัวมองว่าการประกอบธุรกิจทุกธุรกิจมีเส้นบางๆ 2 คำ คือ 1.ผลประโยชน์ธุรกิจ 2.จริยธรรมวิชาชีพ ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรแต่ละองค์กรจะมีทิศทางการเดินแผนธุรกิจแบบใด”
แหล่งข่าวระดับสูง จากบริษัทวางแผนและซื้อสื่อโฆษณารายใหญ่ กล่าวแสดงความเห็นว่ายังคงต้องรอให้คดีความถึงที่สุดว่าจะเป็นอย่างไร และต้องดูความชัดเจนของผู้บริหารของช่อง 3 ว่าจะตัดสินใจอย่างไรกับเรื่องดังกล่าว แต่รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ถือเป็นเพียงรายการหนึ่งของช่อง 3 เท่านั้น ทางสถานียังมีรายการและละครที่เป็นรายได้หลักอยู่จำนวนมาก จึงเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของสถานี รวมถึงเม็ดเงินโฆษณาที่จะเข้าไปกับช่อง 3 อย่างไรก็ตาม ช่อง 3 ยังถือเป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจสถานีโทรทัศน์ ที่ยังสามารถหารายได้จากรายการประเภทอื่นได้

“ทางบริษัทยังคงวางแผนซื้อโฆษณาเป็นปกติ โดยดูจากศักยภาพของรายการเป็นหลัก และดูช่วงเวลาเป็นสำคัญ ซึ่งช่วงเวลาไพรม์ไทม์สัดส่วนเม็ดเงินโฆษณาที่ซื้อจะมีประมาณ 60% เพราะมีผู้ชมจำนวนมาก ส่วนที่ไม่ใช่เวลาไพรม์ไทม์จะมีสัดส่วน 40% ส่วนรายการข่าวปัจจุบันก็มีความหลากหลาย และมีหลายรายการให้เลือก ซึ่งสัดส่วนเม็ดเงินโฆษณาที่เข้าไปในรายการข่าว ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร และหากรายการเรื่องเล่าเช้านี้หรือรายการที่นายสรยุทธเป็นผู้ดำเนินรายการ จะมีการเปลี่ยนแปลงก็ไม่น่าจะส่งผลอะไรต่อเม็ดเงินโฆษณา”

ทั้งนี้พฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันมีการรับชมข่าวสารได้หลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดีย จึงทำให้รายการข่าวที่มีจำนวนมาก ต้องสร้างจุดขายและความแตกต่าง แต่ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับการรับชมข่าวสารผ่านช่องทางหลักด้วยเช่นกัน ทำให้ประเมินว่าเม็ดเงินโฆษณาผ่านรายการข่าวจะไม่ได้ลดลง รวมถึงเม็ดเงินโฆษณาที่จะเข้าไปกับทางช่อง 3 ก็คงไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีของนายสรยุทธด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ข้อมูลเรตติ้งจาก เอซี นีลเส็น พบว่าในปี 2558 รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” จะครองเรตติ้งเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มผู้ชมที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป (ซึ่งเป็นผู้ชมหลัก) ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ขณะที่หากเป็นผู้ชมกลุ่มเดียวกันทั่วประเทศเรตติ้งจะไปตกอยู่กับรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” เช่นเดียวกับการจัด 5 อันดับข่าวภาคเช้าที่มีคนดูสูงสุดในเดือนมกราคม 2559 พบว่า อันดับ 1 ได้แก่ เช้านี้ที่หมอชิต 2.892 อันดับ 2 ได้แก่ เรื่องเล่าเช้านี้ 2.682 อันดับ 3 ได้แก่ สนามข่าว 7 สี 2.145 อันดับ 4 ได้แก่ คุยข่าวช่อง 8 ที่ 0.787 และอันดับ 5 ได้แก่ คุยโขมงข่าวเช้า 0.303

ด้านนายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ปฏิบัติการแทนรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เปิดเผยว่า การที่ช่อง 3 สนับสนุนให้นายสรยุทธ ทำงานและจัดรายการเรื่องเล่าเช้านี้เช่นเดิม เนื่องจากคดีความดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด อยู่ระหว่างการพิสูจน์ในชั้นศาล รวมทั้งกรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนร่วมงานกัน ทำให้บริษัทกับนายสรยุทธ ยังทำงานร่วมกันเป็นครอบครัวเดียวกัน อย่างไรก็ดี ช่อง 3 น้อมรับคำวิจารณ์และประเมินท่าทีของสังคมต่อไป แต่มติบอร์ดขณะนี้ ถือเป็นที่สิ้นสุดและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยมีนายไพศาล กุวลัยรัตน์ อนุกรรมการ ทำหน้าที่ประธานการประชุมของคณะอนุกรรมการกำกับผังรายการและเนื้อหารายการ ซึ่งได้เปิดเผยว่า ในที่ประชุมประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับกรณีการปฏิบัติหน้าที่ของนายสรยุทธนั้น ที่ประชุมยังไม่ได้ข้อยุติ แต่มีมติให้เชิญผู้บริหารช่อง 3 มาพบคณะอนุกรรมการ ในวันที่ 7 มีนาคมนี้ เพื่อชี้แจงในประเด็นด้านกฎหมายและจริยธรรมของสื่อมวลชนซึ่งเป็นไปตามข้อ 14 ของประกาศหลักเกณฑ์ และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ.2555

อีกทั้งคณะอนุกรรมการยังได้หารือในประเด็นข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลผู้รับใบอนุญาต ซึ่งผู้รับใบอนุญาตต้องกำกับดูแลรายการให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้านจริยธรรมและความเหมาะสมของผู้ดำเนินรายการ ทั้งนี้บรรยากาศภายในที่ประชุมได้มีคณะกรรมการหลายฝ่ายแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง

อนึ่ง นายสรยุทธ ได้จัดตั้งบริษัท ไร่ส้ม จำกัดขึ้นพร้อมดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ เพื่อผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ให้กับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยออกอากาศทุกวันเสาร์และอาทิตย์ เป็นเวลาครั้งละ 60 นาที และไร่ส้มจะได้ส่วนแบ่งเวลาโฆษณาครั้งละ 5 นาที หากมีโฆษณาเกินกว่านั้นจะต้องชำระค่าโฆษณาให้อสมท ในอัตรานาทีละไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท นอกจากนี้ยังได้ขยายเวลารายการคุยคุ้ยข่าว ไปออกอากาศทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ครั้งละ 30 นาที และได้ส่วนแบ่งเวลาโฆษณาครั้งละ 2.30 นาที หากมีโฆษณาเกินกว่านั้นจะต้องชำระค่าโฆษณาให้อสมท ในอัตรานาทีละไม่ต่ำกว่า 2.4 แสนบาท

ต่อมามีการตรวจสอบพบว่าตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 – 30 มิถุนายน 2549 ไม่มีการรายงานการโฆษณาเกินเวลา และบริษัท ไร่ส้มไม่ได้ชำระค่าโฆษณาตามที่ได้ตกลงเป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท แม้ไร่ส้มจะนำเงินมาชำระในภายหลังเป็นจำนวนกว่า 138 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยเป็นจำนวนกว่า 152 ล้านบาท แต่การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดทางอาญาและล่าสุด (29 กุมภาพันธ์ 2559) ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้นายสรยุทธ มีความผิดจำคุก 20 ปี ลดโทษเหลือ 13 ปี 4 เดือน สั่งปรับบริษัท ไร่ส้ม 1.2 แสนบาท ลดเหลือ 8 หมื่นบาท ไม่รอลงอาญา

Photo : youtube

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,136 วันที่ 3 - 5 มีนาคม พ.ศ. 2559