รัฐเฉือนเนื้อ 4 หมื่นล้านบาท จูงใจให้ SMEs ทำบัญชีเดียว
สรรพากร ยอมเฉือนเนื้อ 4 หมื่นล้าน จูงใจลดภาษีให้เอสเอ็มอีเข้าชื่อจดแจ้งเป็นบัญชีเดียว ยันไม่ตามเช็กบิลย้อนหลังผู้สอบบัญชี-นิติบุคคลเลี่ยงภาษี หลังมีกฎหมายห้ามตรวจสอบย้อนหลัง คาดสิ้นมีนาคม ยอดจดแจ้งจะเพิ่มเป็นกว่า 3 แสนรายจาก 4.1 แสนรายนิติบุคคลทั่วประเทศ
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ขณะนี้มีจำนวนผู้ยื่นขอคืนภาษีถึง ณ วันที่ 31 มกราคม 2559 แล้วจำนวน 1.7 -1.8 ล้านรายแล้ว โดยเป็นการยื่นผ่านอินเตอร์เน็ต 84% คิดเป็นจำนวนกว่า 1.4 ล้านราย และจำนวนนี้ได้ยื่นขอลดหย่อนภาษีตามโครงการช็อปช่วยชาติ ถึง 7 หมื่นราย หรือคิดเป็นสัดส่วน 50% โดยกรมสรรพากร ได้ดำเนินการใช้งบประมาณคืนภาษี จากโครงการดังกล่าวไปแล้ว 2.5 พันล้านบาท อย่างไรก็ดีคาดว่าเมื่อถึงช่วงใกล้กำหนดยื่นชำระภาษี จะมีผู้เข้ายื่นแบบชำระภาษีจำนวน 11 ล้านราย โดยส่วนใหญ่นิยมยื่นกันวันสุดท้าย
ส่วนมาตรการนำค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวภายในประเทศมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท ที่สิ้นสุดเมื่อปลายปีที่ผ่านมานั้น กรมสรรพากรได้ยื่นแผนต่ออายุมาตรการดังกล่าวอีก 2 ปี กับกระทรวงการคลังไปแล้ว และจะเตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)พิจารณาในเร็วๆ นี้ โดยจะมีผลต่อการยื่นแบบแสดงภาษีตั้งแต่ปี 2559
ส่วนความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดทำมาตรฐานบัญชีเล่มเดียวและการยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับ SMEs ที่ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและสภาวิชาชีพบัญชีนั้น ที่ประชุมมีมติให้ผู้ประกอบการปรับปรุงการทำรายงานงบบัญชีปี 2558 ซึ่งเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดทางบัญชี โดยให้ปรับปรุงย้อนหลังปี 2556-2557 แต่ไม่ต้องยื่นงบย้อนหลัง โดยผู้สอบบัญชี ผู้รับทำบัญชีจะไม่มีความผิดย้อนหลัง หากดำเนินการตามหลักฐาน ข้อเท็จจริงทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับ มาตรฐานบัญชีฉบับที่ 8 และการทำบัญชีปี 2559 เริ่มต้นอย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ การปรับปรุงงบการเงิน ถือเป็นข้อกังวลเอสเอ็มอี กังวลมากที่สุด ดังนั้นผู้ประกอบการที่งบบัญชี หากเข้าโครงการจดแจ้งกับกรมสรรพากร แม้บัญชีที่ยื่นปี 2556-2557 จะไม่เรียบร้อยก็จะไม่มีความผิดและไม่มีบทลงโทษใดๆ โดยที่กรมสรรพากร ไม่มีสิทธิตรวจสอบหรือเอาผิดย้อนหลังนิติบุคคล หรือผู้ตรวจบัญชี ที่เข้าโครงการจดแจ้งทั้งสิ้น ซึ่งจากนี้ไปกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะเข้าไปช่วยเหลือ แนะนำ เพื่อให้ผู้ประกอบการทำงบปี 2558 ได้ถูกต้องสอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ หรือที่เรียกว่าบัญชีเล่มเดียว และสอดคล้องกับนโยบายอี-เพย์เมนต์ ของรัฐบาล
"กรมสรรพากรค่อนข้างกังวลถึงมาตรการในการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี หากไม่มีระบบบัญชีที่ถูกต้องแล้ว ตั้งแต่เดือนมกราคม2562 ธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีรายได้ต่ำกว่า 500 ล้านบาท อาจมีการตรวจสอบรายได้ ซึ่งหากไม่มีระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐานอาจส่งผลต่อการยื่นเพื่อขอรับสินเชื่อหรือไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการรัฐที่ให้การส่งเสริมได้ "
ทั้งนี้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่เข้าโครงการการจดแจ้ง สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับคือหากเป็น เอสเอ็มอี มีผลประกอบการปี 2559 ไม่เกิน 30 ล้านบาท มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 3 ล้านบาทจะได้รับการยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเอสเอ็มอีในรอบปีบัญชี 2559 และในปี 2560 จะได้ลดภาษีเหลือ 10% โดยอาจทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีต่อปีกว่า 2 หมื่นล้านบาท หรือ 2 ปี รวมราว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งหวังว่าในรอบปีบัญชีงบ 2561 จะสามารถจัดเก็บภาษีจากธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้น
อธิบดีกรมสรรพากรกล่าวเพิ่มเติมว่าขณะนี้มีนิติบุคคล ที่สนใจจดแจ้งเข้าสู่มาตรการบัญชีชุดเดียวตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว 1 แสนราย จากทั้งหมด 4.1แสนราย โดย 81% หรือคิดเป็น 3.6 แสนรายมีรายได้ต่ำกว่า 30 ล้านบาทต่อปี ขณะที่มีเพียง 17% เท่านั้นที่มีรายได้ตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไปแต่ยังต่ำกว่าปีละ 500 ล้านบาท และเมื่อจบโครงการ ณ.สิ้นเดือนมีนาคมนี้คาดจะมีผู้ประกอบการเข้ามาจดแจ้งทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 3 แสนราย รวมถึงมีโอกาสได้เห็นรายได้-รายจ่าย เดิมที่ยังอยู่ใต้ดินหรือแอบทำกระบวนการยังหลบหลบซ่อนๆ ก็จะได้เห็นรายได้ตัวใหม่ ตัวเลขการกู้ยืมซึ่งคิดเป็นหนี้นอกระบบเพิ่มมากขึ้นขณะที่ภาครัฐยังมีโอกาสจัดเก็บภาษีรายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมมากขึ้นด้วยเช่นกัน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,131 วันที่ 14 - 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559