สยายปีกแบรนด์‘LOSO’ ‘เสก’เข็นชูกำลัง/เบียร์/เหล้าขาวรุกตลาดเครื่องดื่ม

14 ก.พ. 2559 | 08:00 น.
อัปเดตล่าสุด :15 พ.ค. 2559 | 15:38 น.
“เสก โลโซ” เดินหน้าปั้นแบรนด์ LOSO แจ้งเกิดเต็มรูปแบบบนโลกธุรกิจ ประเดิมเปิดแนวรบตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ส่งแบรนด์น้องใหม่“โลโซดี” ปูพรมทั่วประเทศเมษายนนี้ พร้อมทุ่มงบตลาดกว่า 150 ล้านจัดเต็มกลยุทธ์มิวสิก มาร์เก็ตติ้ง ทั้งทัวร์คอนเสิร์ต 100 เวทีทั่วประเทศ ชิงโชคใต้ฝา มั่นใจโกยรายได้กว่า 1.75 พันล้าน ไล่บี้แชร์บาวแดงและเอ็ม 150 เผยเตรียมแจ้งเกิดเบียร์ LOSO และเหล้าขาว 40ดีกรีกลางปี หวังสร้างพอร์ตธุรกิจเครื่องดื่มเต็มตัวก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯอีก 3 ปีข้างหน้า

นายเสกสรรค์ ศุขพิมาย ประธานกรรมการ บริษัท โลโซ โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ปัจจุบันแบรนด์โลโซ (LOSO) เป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยเชื่อว่าคนไทยกว่า 80% รู้จักและคุ้นเคยกับแบรนด์โลโซเป็นอย่างดี ทำให้มองเห็นเป็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจ โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาสมาร์ทโฟน ภายใต้แบรนด์ LOSO รุ่น LS1 ใจสั่งมา ออกวางจำหน่าย และทดลองเปิดให้บริการร้านสะดวกซื้อ LOSO 22 SHOP สาขาแรกในย่านวัชรพล ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้ง 2 ธุรกิจ ทำให้บริษัทมั่นใจและพร้อมเดินหน้ารุกธุรกิจเต็มรูปแบบโดยเฉพาะธุรกิจเครื่องดื่ม ซึ่งบริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์พร้อมออกวางจำหน่ายทั้งน้ำดื่ม เครื่องดื่มชูกำลัง เบียร์ และสุรา

ล่าสุดบริษัทเตรียมเปิดตัวเครื่องดื่มชูกำลังภายใต้ชื่อ โลโซดี(LOSO D) ออกวางจำหน่ายทั่วประเทศในเดือนเมษายนนี้ผ่านทางร้านค้าทั่วไป เช่น ร้านโชห่วย ตู้แช่ ฯลฯ (เทรดดิชั่นนอล เทรด) และร้านค้าสมัยใหม่ (โมเดิร์น เทรด) เช่น ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ โดยเบื้องต้นจะเป็นการวางจำหน่ายในบรรจุภัณฑ์แบบขวด และในอนาคตจะเพิ่มบรรจุภัณฑ์แบบกระป๋อง โดยมีบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้กระจายสินค้า

"เป้าหมายของบริษัท คือ การรุกตลาดเครื่องดื่มเมืองไทย ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ทั้งน้ำดื่ม เครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งเบียร์ และสุรา อย่างไรก็ดีจากการศึกษาตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตัดสินใจผลิตและวางจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังโลโซดี ออกทำตลาดก่อน ซึ่งจากการทดลองตลาดพบว่า มีกระแสตอบรับที่ดีมาก เกินเป้าหมายที่คาดไว้ โดยเชื่อว่าเกิดจากรสชาติที่ถูกปาก และเชื่อเสียงของโลโซ ทำให้ลูกค้ามั่นใจ ซึ่งโลโซดี จะสามารถกระจายได้ทั่วประเทศภายในเดือนเมษายนนี้"

ด้านแผนการทำตลาด บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง (Music Marketing) เป็นหลัก โดยใช้งบกว่า 150 ล้านบาท แบ่งเป็นงบสำหรับจัดทัวร์คอนเสิร์ต 100 เวทีทั่วประเทศ 50 ล้านบาท และงบสำหรับจัดแคมเปญชิงโชคใต้ฝา 100 ล้านบาท และงบผ่านสื่อต่างๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ อาทิ การจัดประกวดดนตรี เป็นต้น

"ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้การใช้สื่อต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งการแข่งขันในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องใช้สื่อโทรทัศน์ หรือบิลบอร์ดมากนัก เพราะนอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายสูงแล้ว การเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ยังยาก แต่จะมุ่งเน้นการใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้เป็นอย่างดี และมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าด้วย" นายเสกสรรค์กล่าวและว่า

การชิงโชคเป็นกลยุทธ์สำคัญที่เชื่อว่าจะสร้างการรับรู้ และกระตุ้นให้เกิดการทดลองดื่ม โดยเบื้องต้นอยู่ระหว่างศึกษาข้อกฏหมายและความเป็นไปได้ในการทำ เพื่อให้ถูกต้อง โดยสินค้าที่จะนำมาเป็นของรางวัลให้กับลูกค้า จะมีทั้งทองคำ กีต้าร์ และสมาร์ทโฟนเป็นต้น

อย่างไรก็ดีบริษัทตั้งเป้าที่จะมียอดขายเครื่องดื่มชูกำลัง 1.75 พันล้านบาทในปีแรก หรือมีส่วนแบ่งตลาด 10%จากมูลค่าตลาดรวมเครื่องดื่มชูกำลังเกือบ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีเอ็ม -150 เป็นผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งตลาดราว 50% รองลงมา ได้แก่ คาราบาวแดง 25% กระทิงแดง 10-12% และอื่นๆ โดยส่วนแบ่งตลาดที่โลโซดีได้มาจะมาจากคาราบาวแดงและเอ็ม -150 นั่นเอง

นายเสกสรรค์ กล่าวอีกว่า เป้าหมายของตน คือ การรุกตลาดเบียร์ ซึ่งมีมูลค่ากว่าแสนล้านบาท โดยขณะนี้บริษัทมีความพร้อมในการผลิตและจัดจำหน่ายเบียร์ ภายใต้ชื่อ โลโซ เบียร์ และสุราขาว 40 ดีกรี โลโซ อย่างเต็มที่ โดยมีบริษัทซานมิเกล เป็นผู้ผลิตหลังจากที่พัฒนาสูตร ศึกษารูปแบบของบรรจุภัณฑ์ และวางกลยุทธ์การตลาด ทำให้เชื่อว่าจะสามารถผลิตและวางจำหน่ายได้ทันทีภายในกลางปีนี้ นอกจากนี้ยังมีแผนขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างสปป.ลาว และกัมพูชา โดยมีนักธุรกิจท้องถิ่นเป็นผู้นำเข้าไปจำหน่าย ซึ่งในอนาคตจะมีการขยายตลาดมากขึ้น

"รูปแบบธุรกิจที่โลโซ โฮลดิ้งจะดำเนินการต่อไปในอนาคต จะมีทั้งธุรกิจเครื่องดื่ม ธุรกิจไอที ธุรกิจความงาม (สกินแคร์) และธุรกิจเพลง ซึ่งการเดินหน้าธุรกิจเต็มรูปแบบ ทำให้บริษัทมีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯในอีก 3 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจให้กับบริษัท โดยนับจากนี้จะเป็นการแต่งตัวเพื่อเตรียมความพร้อมและผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างเป็นระบบ"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,131 วันที่ 14 - 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559