มาม่าอัดงบการตลาด250ล้าน ดันยอดปีนี้เติบโต5%

26 ม.ค. 2559 | 00:00 น.
มาม่า ตั้งเป้าโต 5% พร้อมรักษาแชมป์เบอร์ 1 ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เตรียมทุ่มงบกว่า 250 ล้าน จัดรายการส่งเสริมการขายและออกสินค้าใหม่ กระตุ้นยอดซื้อ มั่นใจแนวโน้มตลาดโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 2% จากฝีมือรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังปีที่ผ่านมาตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1.45 หมื่นล้าน โตเพียง 0.4% ต่ำสุดรอบ 44 ปี

[caption id="attachment_28058" align="aligncenter" width="400"] เวทิต โชควัฒนา เวทิต โชควัฒนา[/caption]

นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการรองผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตั้งเป้าหมายการเติบโตของบะหมี่สำเร็จรูปมาม่าในปีนี้ 5% จากปีที่ผ่านมา มียอดขายเกือบ 1 หมื่นล้านบาท หรือตั้งเป้าหมายยอดขายเพิ่มอีก 500 ล้านบาท โดยปัจจุบันมาม่ามียอดขายคิดเป็นสัดส่วน 33% ของยอดขายรวมของบริษัทฯ 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะยังคงใช้กลยุทธ์การจัดกิจกรรมการตลาด รายการส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยจะใช้งบประมาณการตลาดไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาที่ใช้งบ 250 ล้านบาท

ขณะที่เดียวกันยังมีแผนออกสินค้ารสชาติใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภค จากปัจจุบันมีทั้งหมด 24 รสชาติ ซึ่งรสชาติที่ขายดี 3 อันดับแรก ได้แก่ รสต้มยำกุ้ง รสหมูสับ และรสต้มยำน้ำข้น ซึ่งทั้ง 3 รสชาติมียอดขายรวม 60% ของทุกรสชาติ ส่วนปีที่ผ่านมาไม่มีการออกรสชาติใหม่ แต่นำเอารสเย็นตาโฟหม้อไฟที่เปิดตัวเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา กลับมาสื่อสารการตลาดใหม่ผ่านพรีเซ็นเตอร์ อั้ม พัชราภา ในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งประสบความสำเร็จทำให้ยอดขายเติบโต 8% ขณะที่ภาพรวมตลาดเติบโต 7%

"การออกรสชาติใหม่ เป็นการกระตุ้นให้เกิดการทดลอง และเป็นกลยุทธ์การแย่งแชร์จากคู่แข่ง หรืออาจจะแย่งแชร์ของตัวเอง และตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น ทำให้การออกรสชาติใหม่ต้องทำวิจัยอย่างมาก เช่น ช่วงที่ออกรสชาติใหม่ล่าสุด รสแกงเขียวหวาน พบว่ากินแชร์ตัวเองเพียง 3% เพราะรสชาติไม่ซ้ำกับของเดิมที่มีอยู่ และเป็นรสชาติใหม่ของตัวเอง ซึ่งการทำวิจัยมีตลอดทุกปี แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะตัดสินใจนำรสชาติอะไรออกมาทำตลาด"

ปัจจุบันตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าตลาดรวม 1.45 หมื่นล้านบาท มาม่าเป็นผู้นำตลาด มีส่วนแบ่งตลาด 51% แบรนด์อันดับ 2 มีส่วนแบ่งตลาด 21% อันดับ 3 มีส่วนแบ่งตลาด 20% ซึ่งแนวโน้มของตลาดในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตในอัตรา 2% จากปัจจัยการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ ที่ชะลอตัวมาต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะมีออกมาอย่าต่อเนื่อง และเป็นมาตรการที่จะสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะใน การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี เป็นปีแรก แม้ว่าจะผลของการเปิดเออีซีจะยังไม่เห็นผลชัดเจน แต่เชื่อว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

"ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ที่สามารถเดินทางผ่านชายแดนได้สะดวก ทำให้มีคนมองว่าประเทศไทยเป็นเมืองหลวงของเออีซี ซึ่งจะทำให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศมากขึ้น รวมถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลจะส่งผลให้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเติบโต ที่ผ่านมาพบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย และซื้อมาม่ารสต้มยำกุ้งกลับไปด้วย ขณะที่ผู้ประกอบการทุกแบรนด์ มีเป้าหมายรักษาการเติบโต ของตนเองไว้ จึงทำให้ยังคงจัดแคมเปญการตลาด การลดแลกแจกแถม และโฆษณาอย่างต่อเนื่อง"

ส่วนผลการดำเนินงานในรอบปี 2558 มาม่าเติบโตเพีย 0.4% ซึ่งเติบโตน้อยที่สุดในรอบ 44 ปี โดยภาพรวมของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากการเติบโตของมาม่ามีผลต่อการเติบโตของตลาด ปัจจัยที่ทำให้ตลาดเติบโตน้อย เป็นเพราะผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ที่กระทบผู้บริโภคระดับรากหญ้าที่เป็นผู้บริโภคหลัก โดยเฉพาะปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ทำให้มีผลกระทบต่อรายได้ของผู้บริโภค และหันไปหาซื้อสินค้าที่มีราคาถูกกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เช่น ข้าวสารบรรจุถุงแบ่งขาย ตามรถขายของเร่

"ที่ผ่านมามาม่าถูกมองว่าเป็นดัชนีวัดเศรษฐกิจ ถือว่าไม่เป็นความจริง เพราะที่ผ่านมาเมื่อเศรษฐกิจดี มาม่าก็เติบโต ส่วนช่วงเศรษฐกิจไม่ดี มาม่าก็เติบโต แต่เติบโตน้อย เพราะเป็นสินค้ามีราคาถูก ซึ่งมาม่าไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ อัตราการเติบโตน้อย คือ 5-6% ส่วนเติบโตมากกว่า คือ 10% แต่ปีที่ผ่านมาเติบโตน้อยที่สุดในรอบ 44 ปี เพียงแค่ 0.4% (ข้อมูลตั้งแต่มกราคม-พฤศิจกายน) ขณะที่ปี 2557 เติบโตกว่า 1%"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,125 วันที่ 24 - 27 มกราคม พ.ศ. 2559