สถาบันวิจัยกรุงศรีฯ ประเมินงานก่อสร้างไตรมาสแรกขยายตัวตามโครงการภาครัฐ เผยปีก่อน มูลค่าพุ่ง 5.9% หรือ 1.22 ล้านล้านบาท ด้าน “ไทยพาณิชย์” ชี้ 2 เดือนแรก ลูกค้ารับเหมาแห่ขอหนังสือคํ้าประกันประมูลโครงการรัฐขยายตัว 5.8%
สถาบันวิจัยกรุงศรี รายงานภาวะอุตสาหกรรมรายไตรมาส คาดการณ์งานก่อสร้างในไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 จะขยายตัวตามการเพิ่มขึ้นของงานก่อสร้างโครงการภาครัฐโดยงานก่อสร้างเอกชนยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว
ส่วนภาวะธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในไตรมาสที่ 4 ของปี 2559 ที่ผ่านมา ขยับดีขึ้นเล็กน้อย แต่ความต้องการก่อสร้างยังมีข้อจำกัดเฉพาะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยภาวะการลงทุนก่อสร้างไตรมาสที่ 4 มีมูลค่า 2.84 แสนล้านบาท เติบโต 1.8% ต่ำสุดในรอบ 2 ปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเปรียบเทียบฐานที่สูง
ดังนั้นสถานการณ์ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปี 2559 มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5.6% มีมูลค่า 1.22 ล้านล้านบาท โดยอานิสงส์หลักมาจากขยายตัวของมูลค่าก่อสร้างภาครัฐ 11.4% ขณะที่มูลค่าก่อสร้างภาคเอกชนหดตัว 1.2%
[caption id="attachment_136231" align="aligncenter" width="503"]
สารัชต์ รัตนาภรณ์[/caption]
นายสารัชต์ รัตนาภรณ์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Corporate Segment ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลยุทธ์หลักธนาคารจะเป็นการขยายฐานลูกค้าใหม่ เช่นเดียวกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มุ่งเน้นการหาลูกค้าใหม่ โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ได้ลูกค้าใหม่แล้วจำนวน 200 ราย จากเป้าหมายทั้งปีอยู่ที่ 500 ราย ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี ซึ่งในจำนวนดังกล่าวประมาณ 50% มาจากลูกค้าในเซ็กเตอร์รับเหมาก่อสร้างที่ได้รับอานิสงส์มาจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ
ทั้งนี้จากสัญญาณกลุ่มลูกค้ารับเหมาก่อสร้างที่มีมากขึ้น จะเห็นว่ามีความต้องการผ่านการขอหนังสือค้ำประกัน (L/G) เพื่อไปวางงานประมูลตามโครงการภาครัฐและโครงการสาธารณูปโภคที่มีมากขึ้น ซึ่งจากความต้องการที่มีเพิ่มขึ้นธนาคารจึงได้ปรับกระบวนการขอหนังสือ L/G ให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้นจากเดิมที่ใช้เวลานาน แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น
ตัวเลขการขอหนังสือ L/G ในช่วง 2 เดือนแรก มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5.87%ขณะที่ในปี 2559 ธนาคารได้ออกหนังสือค้ำประกัน L/G มูลค่าอยู่ที่ 1.84 แสนล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 3.49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 ที่มีมูลค่า 1.78 แสนล้านบาท
ขณะที่แนวโน้มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มียอดขายเกิน 500 ล้านบาท ธนาคารประเมินว่ายังเป็นกลุ่มที่สามารถขยายตัวได้อีกมาก หากดูตัวเลขลูกค้าขนาดใหญ่ทั้งระบบในประเทศไทย พบว่ามีอยู่ประมาณ 8,700 ราย ปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์มีส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อยู่ที่ประมาณ 15% ในแง่ลูกค้าที่ใช้ธนาคารไทยพาณิชย์เป็นธนาคารหลัก (Main Bank) ในการทำธุรกิจ ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวในลูกค้าขนาดใหญ่ หรือ Top 5 ของแต่ละอุตสาหกรรม
ส่วนลูกค้าขนาดใหญ่ที่มียอดขายไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงที่ผ่านมีอัตราการเติบโตไม่สูงมาก ดังนั้น หากดูตัวเลขภาพรวมจะเห็นว่ากลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่มีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก โดยธนาคารคาดว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้า สัดส่วนของมาร์เก็ตแชร์ของกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่จะขยายเพิ่มเป็น 20-25%
ขณะที่กลุ่มที่ขยายตัวและมีโอกาสเติบโตได้ดี จะมีอยู่ 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่ได้รับอานิสงส์การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งมีพื้นฐานการเติบโตดี และจะส่งเสริมให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องขยายตัวตามไปด้วย ส่วนอีกกลุ่มที่ไปได้เรื่อยๆ จะเป็นอุตสาหกรรม อาหาร และอุตสาหกรรมรายย่อย (คอนซูเมอร์) ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยว ยังเป็นหัวใจหลักของประเทศไทย ซึ่งยังมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง
"เราเริ่มเห็นสัญญาณความต้องการขอหนังสือการันตีประมูลงานภาครัฐมากขึ้น เพราะปกติธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะมีบริษัทใหญ่ 5-6 รายที่เป็นคนเข้าประมูล และจะมีการส่งงานต่อให้กลุ่ม Sub contract ที่เป็นธุรกิจรับเหมา ขนาดกลางและใหญ่คอยรับงานต่อ ดังนั้น เราจะเข้าไปขยายฐานลูกค้าทั้งสองกลุ่ม โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเราเห็นทิศทางการเติบโตของหนังสือ L/G เพื่อวางตามการประมูลต่างๆ เพิ่มขึ้นมาก และเพื่อรองรับการขยายตัวของลูกค้ากลุ่มนี้ นอกจากจะมีพนักงานลูกค้าสัมพันธ์ (อาร์เอ็ม) 30 คน ไว้คอยดูแล ธนาคารยังมีการทำโปรแกรมเฉพาะไว้ในแต่ละกลุ่ม เพื่ออำนวยความสะดวก เช่น รับเหมาก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น โดยมีการปรับกระบวนการภายในให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ไว้แนะนำลูกค้าเป็นพิเศษ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,246 วันที่ 23 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2560