ตลาดบิวตี้แรงสุดขั้ว จับตาแบรนด์ไทย/เทศ เร่งบุกตลาด รับสาวไทยเพิ่มสวยแบบไม่อั้น

20 ม.ค. 2560 | 06:00 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

ชี้เทรนด์ธุรกิจสุขภาพและความงามโลก 9 ล้านล้านบาทแรงสุดขั้ว จับตาเครื่องสำอางแบรนด์ไทยรั้งอันดับ 17 ของโลกด้วยมูลค่ากว่า 2.1 แสนล้านบาท ล่อใจผู้เล่นหน้าใหม่ ล่าสุด “คีย์ เจมส์” แตกไลน์ธุรกิจ ปั้น 2 แบรนด์ใหม่“โอเลสเต้-เฟียอาเต้” มั่นใจโกยรายได้ทะลุหลักร้อยล้านขณะที่ แบรนด์ดังจากแดนนํ้าหอม “เอลลา บาเช่” ซุ่มบุกตลาดสปาและบิวตี้ซาลอน หลังพบหญิงไทยใจเด็ด ควักจ่ายเงินเพื่อความงามแบบไม่อั้น ดันรายได้โต 30%

ครองอันดับ 1 ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตมากสุดทั่วโลกสำหรับธุรกิจสุขภาพและความงาม ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า 2.65 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 9 ล้านล้านบาท โดยพบว่าเครื่องสำอางไทยซึ่งมีมูลค่ารวมราว 2.1 แสนล้านบาท มีสัดส่วนอยู่ในอันดับที่ 17 และตลอด 10 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตเฉลี่ย 10-20% และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากผู้ประกอบการใหม่ที่เกิดขึ้นจำนวนมาก โดยประเทศไทยยังเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพและเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก

โดยนายรังสรรค์ ตรงฉาก ประธานกรรมการ บริษัท มาย่า แอนด์ โค จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว "โอเลสเต้" (O'lesté) และเฟียอาเต้ (Fierté ) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ด้วยเป้าหมายที่ต้องการก้าวขึ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและความงามในทุกช่องทาง ทำให้บริษัทมุ่งขยายธุรกิจให้ครอบคลุมในทุกด้าน ล่าสุดเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผิวหน้าและร่างกาย ภายใต้ชื่อโอเลสเต้ และเฟียอาเต้ ออกวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ถือเป็นอีกธุรกิจความงามที่แตกไลน์เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีบริษัท คีย์ เจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกจิวเวลรี เครื่องประดับ และบริษัท บิวตี้ เมดฯ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตศัลยกรรมเม็ดพลาสติกความงาม และจำหน่ายผ่านเว็บไซต์กว่า 60 เว็บทั่วโลก MP-39-3228-a

"หลังจากใช้เวลาศึกษาและวิจัยมากว่า 3 ปี ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ล่าสุดได้ผลงานวิจัยสารสกัดนาโนจากดอกดาวเรือง ออกวางจำหน่ายภายใต้ชื่อ โอเลสเต้ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ประกอบด้วยโอเลสเต้ นาโน เซรั่ม , โอเลสเต้ คลีนเซอร์ , เฟเชียล ไวท์เทนนิ่ง ครีม , โอเลสเต้ เฟเชียล มิส และเจลแต้มสิว ACNE GEL ราคาเริ่มต้น 300 – 1,900 บาท และแบรนด์ เฟียอาเต้ ประกอบด้วย เฟียอาเต้ อันเดอร์อาร์ม ไวท์เทนนิ่ง ครีมและ เฟียอาเต้ เบรส ครีม ราคาเริ่มต้น 1,100 – 2,800 บาท เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับกลางหรือซีบวกขึ้นไป"

บริษัทใช้งบลงทุนราว 30 ล้านบาท ในการสนับสนุนงานวิจัย การผลิต การโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการผลิตสารตั้งต้นโดยเน้นทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ และจะขยายสู่ร้านโมเดิร์นเทรด และประเทศมาเลเซีย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ลาว เมียนมา รวมถึงจีนและอินเดียโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหาตัวแทนจำหน่าย นอกจากนี้บริษัทมีแผนเพิ่มไลน์สินค้าใหม่อีก 5-6 ผลิตภัณฑ์ภายในไตรมาส 2 นี้ เช่น ครีมทากันแดด , มาส์คแอนด์สครับ , มอยเจอไรเซอร์ เป็นต้น รวมทั้งการออกบูธโรดโชว์ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ BeautyWorld Middle East ดูไบ , Vietbeauty 2017 เวียดนาม , COSMEX 2017 ไบเทค บางนา ฯลฯ โดยตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขายในปีนี้ 100 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 20% และต่างประเทศ 80%

นายรังสรรค์ กล่าวอีกว่า ในสิ้นปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวบริษัทใหม่ ภายใต้ชื่อ ฟิวเจอร์ แลบ ดำเนินงานด้านอาหารเสริม วิตามิน เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสวยจากข้างใน และบริษัทจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอีก 2 ปีข้างหน้าเพื่อเดินหน้าขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศเต็มที่ โดยบริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมทั้งกรุ๊ปราว 1,000 – 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจจิวเวลรีและสกินแคร์ 60% และ ศัลยกรรมเม็ดพลาสติกและอาหารเสริม 40%

ขณะที่นายริวอิจิ ซาโต้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีว่า ซัพพลาย จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับสปา และซาลอน กล่าวว่า ทิศทางตลาดเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวน่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 8-10% ซึ่งทิศทางในปีนี้ยังเชื่อว่าจะเติบโตไปในอัตราดังกล่าวเช่นกัน และจากผลวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ธุรกิจความงามยังติดอันดับธุรกิจดาวรุ่งในปีนี้ด้วย ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคของคนไทยยังคงใช้จ่ายกับสินค้าเครื่องสำอางและบำรุงผิว เนื่องจากเห็นว่าเป็นของใช้จำเป็น

"ผู้หญิงส่วนใหญ่มองเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นสินค้าจำเป็น จึงไม่ตัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ แม้ว่าปีที่ผ่านมาอาจจะลดความถี่ในการเข้าใช้บริการ แต่ยังคงใช้จ่ายต่อเนื่อง ส่วนปีนี้แม้ว่าเศรษฐกิจอาจจะยังไม่กลับมาเป็นปกติ แต่เชื่อว่าตลาดความงามจะปรับตัวดีขึ้น มีแนวโน้มที่ดีขึ้นหากไม่มีปัญหาหรือปัจจัยลบเข้ามา"

ล่าสุด บริษัทได้นำเข้าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์ เอลลา บาเช่ (Ella Bache’)จากประเทศฝรั่งเศสเข้ามาทำตลาด เนื่องจากมองเห็นโอกาสและศักยภาพการทำตลาด เพราะเป็นสินค้าที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ สามารถใช้แล้วเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในปีแรกได้นำสินค้ากลุ่มผิวหน้าเข้ามาทำตลาด 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผิวเรียบเนียน กระจ่างใส กลุ่มผิวขาดความชุ่มชื่น กลุ่มผิวบอบบาง แพ้ง่าย กลุ่มดีท็อกซ์ ผิวมัน ผิวเป็นสิว และกลุ่มผิวมีริ้วรอย

สำหรับสินค้าที่นำเข้ามาจะทำตลาดผ่าน 2 ช่องทางหลัก ได้แก่ กลุ่มร้านซาลอน บิวตี้สปา ซึ่งมีสินค้ากว่า 30 รายการ ปัจจุบันมีจำนวนร้านจัดจำหน่ายแล้ว 10 แห่ง โดยวางแผนในระยะ 3-5 ปีจะขยายช่องทางดังกล่าวให้ได้ 100 แห่งครอบคลุมร้านสปา บิวตี้ซาลอนในระดับพรีเมียม และกลุ่มลูกค้าทั่วไป มีจำนวน 30-40 รายการ จำหน่ายในระดับราคา 1,000-2,500 บาท ซึ่งจะจำหน่ายผ่านร้านสปา บิวตี้ซาลอน ช่องทางอีคอมเมิร์ซ และบิวตี้ช็อปในระดับพรีเมียม

นายริวอิจิ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากจัดจำหน่ายสินค้า 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เล็บและการบริการ สัดส่วน 75% กลุ่มผลิตภัณฑ์แว็กซ์ สัดส่วน 10% และกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนตาและการบริการ สัดส่วน 15% โดยในปีนี้คาดว่าสัดส่วนกลุ่มสินค้า กลุ่มผลิตภัณฑ์เล็บและการบริการ สัดส่วน 50% กลุ่มผลิตภัณฑ์แว็กซ์ สัดส่วน 15% กลุ่มผลิตภัณฑ์ขนตาและการบริการ สัดส่วน 20% และกลุ่มสินค้าแบรนด์เอลลา บาเช่ มีสัดส่วน15% ซึ่งปกติบริษัทจะเติบโตในอัตรา20% ปีนี้น่าเติบโต 30% เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าแบรนด์ดังกล่าวเข้ามาทำตลาด

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,228 วันที่ 19 - 21 มกราคม 2560