EARTH มั่นใจถ่านหินพ้นวิกฤติ ราคาขยับตามน้ำมัน-ธุรกิจสดใส
EARTHเฮ !!ราคาถ่านหินไตรมาส 3 ขยับทะลุ 105 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน หลังราคาน้ำมันขยับ ระบุทิศทางปี 2560 ธุรกิจถ่านหินสดใส 3 ปัจจัยภายนอกหนุน ตั้งเป้าปีหน้าปริมาณขาย 12 ล้านตัน ดันโรงไฟฟ้าเกิด
นายขจรพงศ์ คำดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธฯ ( EARTH ) เปิดเผยว่า ราคาถ่านหินพ้นจุดต่ำสุดแล้ว ซึ่งวันที่ 9 ตุลาคม 2559 ราคาถ่านหิน ปรับตัวขึ้นทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ ตัน ขึ้นไปอยู่ที่ 105 ดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 3 ปี จากที่เคยไปสูงสุด 150 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ ตัน และ 2 ปีก่อน ปรับตัวลงมาต่ำสุด 55 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 87 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนเกือบ 50 % ของการขุดเจาะถ่านหิน ทั้งนี้ราคาถ่านหินที่ขึ้นมานี้ จะสะท้อนผลประกอบการในอีก 6 เดือนข้างหน้า หรือไตรมาส 2 / 2560
สำหรับทิศทางราคาถ่านหิน ปี 2560 ประธานกรรมการบริหาร เชื่อว่า มีแนวโน้มสดใส จากหลายปัจจัยประกอบด้วย ราคาน้ำมันที่เป็นต้นทุนถ่านหิน ปรับตัวขึ้น , ประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าถ่านหินอันดับ 1 ของ โลก ได้ลดกำลังการผลิตในประเทศ ทดแทนด้วยการนำเข้า โดยปีที่ผ่านมา จีนนำเข้า 400 ล้านตัน/ปี จากปริมาณการใช้ถ่านหิน 4 พันล้านตัน/ปี และ นโยบายของ โดนัลทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ที่มีรูปแบบการสนับสนุนธุรกิจกลุ่มการผลิต เปิดให้มีการลงทุนในธุรกิจเหมืองถ่านหิน ซึ่งปริมาณความต้องการถ่านหินของสหรัฐที่ดีขึ้น มีผลต่อการคำนวณดัชนีราคาถ่านหินเฉลี่ยดีขึ้น
นายขจรพงศ์ กล่าวว่า ค่าเงินบาทอ่อนเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ส่งผลกระทบกับ EARTHซึ่งการค้าส่งถ่านหินในประเทศ 30 % เป็นการนำเข้าและขายในรูปเงินบาทตามต้นทุนการนำเข้า ส่วนการขายต่างประเทศ ซื้อเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วขายออกไปในรูปเงินดอลลาร์ โดยจะมีผลทางบัญชีปรากฏในงบการเงินเท่านั้น
ปี 2560 EARTH วางแผนการขายถ่านหิน เป็นปริมาณถ่านหิน 12 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 10 %จากปี 2559 ที่มีปริมาณขายประมาณ 11 ล้านตัน จากฐานลูกค้าเดิมและยอดขายในรูปตัวเงิน น่าจะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน จากค่าเงินบาทอ่อน โดยค้าปลีกในประเทศไทย EARTH เป็นเบอร์ 1 ที่มียอดขาย 3 ล้านตันจากตลาดรวมในประเทศ 5 ล้านตัน
สำหรับตลาดในประเทศจีน ซึ่ง EARTH ไปตั้งบริษัทย่อยเพื่อเป็นตัวแทน เป็นการซื้อถ่านหินจีน ขายจีน และการขายปริมาณมากเป็นล็อต ที่ไปรวบรวมถ่านหินจากเหมืองต่าง ๆ ในจีน ขายส่งปัจจุบันปริมาณเพิ่มขึ้น คาดปี 2560 จะเพิ่มจาก 2 ล้านตัน เป็น 4 ล้านตัน โดยได้รับวงเงินสนับสนุนจากธนาคารไทย 1,000 ล้านบาท และ EARTH ยังได้สิทธิพิเศษจากการเป็นจีนพ้นทะเล ด้วย
“ ตั้งแต่ปี 2561 ตลาดถ่านหิน จะเป็นของผู้ขาย กรณีที่ราคาถ่านหินขยับขึ้นมา ความต้องการที่มากขึ้นจากการผลิตที่หายไปในประเทศจีน ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป โดยตลาดที่เป็นของผู้ขาย ที่มีเหมืองเอง จะขายได้ราคาดี ขณะที่ตลาดเทรดดิ้ง ซื้อมา-ขายไป ได้ราคาดีขึ้น”
นายขจรพงศ์ กล่าวถึงการลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้า ว่า ปี 2560 คาดนำผลการศึกษาเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อขอเพิ่มงบประมาณการลงทุน หากโครงการดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งไม่ต่ำกว่า 10 % ของการลงทุน สำหรับรูปแบบการลงทุนโรงไฟฟ้าในประเทศ เป็นโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) สำเร็จรูป พร้อมจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ( COD ) ได้ทันที ซึ่งดีกว่าการลงทุนตั้งแต่ต้นทั้งหมด
สำหรับแหล่งเงินทุนในการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้านั้นนายขจรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทฯมีอันดับเครดิตที่สามารถออกหุ้นกู้และกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ได้ ปัจจุบัน EARTH มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนหรือดีอีอยู่ที่ประมาณ 2.1-2.2 เท่าเท่านั้น ยังอยู่ในกรอบที่บริษัทมีนโยบายดูแลไว้ไม่ให้เกิน 2.5 เท่า ทั้งนี้ในการขอสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ จะให้การสนับสนุนประมาณ 75% และเป็นส่วนของทุนอีก 25% ซึ่งไม่เป็นปัญหา เนื่องจากบริษัทมีทุนจดทะเบียน และในแต่ละปียังมีกำไรและกระแสเงินสดที่เข้ามาอีกพอสมควร
นายขจรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทวางแผนการดำเนินงานในปีนี้ว่าการดำเนินธุรกิจจะเติบโตประมาณ 10% ซึ่งมาจากฐานลูกค้าเดิม ที่ยังไม่รวมรายได้จากธุรกิจใหม่ เพราะอยู่ระหว่างการศึกษา ทั้งเรื่องโรงไฟฟ้าในประเทศและต่างประเทศ ในเมืองนอกต้องศึกษาข้อกฎหมาย ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น เนื่องจากบริษัทต้องการถือลงทุนทั้งหมด 100% แต่หากสรุปการลงทุนในเรื่องโรงไฟฟ้าได้ บริษัทก็จะรับรู้รายได้ในทันที
ด้านผลการดำเนินงานล่าสุดในงวด 9 เดือนของปี 2559 บริษัทมีกำไรสุทธิ 577 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 921 ล้านบาท หลังจากกำไรในไตรมาส 3 ลดลง ประมาณ 34% เหลือจำนวน 288 ล้านบาท เนื่องจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ผลการดำเนินงานปกติดีขึ้น ทั้งรายได้จากการขายเติบโต 19% และมีอัตรากำไรขั้นต้น 725 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 142 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 24.35%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,225 วันที่ 8 - 11 มกราคม พ.ศ.2560