ฟื้นชีพ‘กองทุนฟื้นฟูฯ’ เครื่องมือสกัด ‘Bank Run’
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่)พ.ศ.ตามที่ กระทรวงการคลังเสนอ โดยสาระสำคัญของร่างกฎหมาย คือการ”คืนอำนาจ”ให้กับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในการดูแลสถาบันการเงินที่มีปัญหา
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ถึงการแก้ไขกฎหมายเพิ่มอำนาจให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน กลับมามีบทบาทในการเข้าไปดูแลสถาบันการเงินที่มีปัญหาว่า จะไม่มีผลให้ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินต้องจ่ายเงินเพิ่มเติม หากไม่มีสถาบันการเงินมีปัญหาเพิ่มเติมจนกองทุนฟื้นฟูต้องเข้าไปดูแล
ปัจจุบันระบบการเงินไทยมีสถาบันประกันเงินฝากอยู่แล้ว แต่การทำหน้าที่ของสถาบันเงินฝากมีข้อจำกัดเพียงแค่การดูผู้ฝากเงินตามวงเงินที่ค้ำประกันเท่านั้น แต่จะไม่เข้าไปดูแลสถาบันการเงินที่มีปัญหา ซึ่งหากรัฐบาล ไม่มีเครื่องมือดูอย่างทันท่วงที หรืออย่างพียงพอแล้ว โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ประชาชนผู้ฝากเงินขาดความเชื่อมั่น พากันแห่ถอนเงินฝากเป็นจำนวนมากในเวลาเดียว หรือ Bank Run ได้
“นี่คือจุดอ่อนของระบบกฎหมายไทย เพราะในขณะที่มีการตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก กฎหมายที่เขียนในขณะนั้นร่างแรกที่เขียนโดยแบงก์ชาติ กำหนดให้สามารถทำหน้าที่ช่วยเหลือสถาบันการเงินที่มีปัญหาได้ แต่เมื่อกระบวนการเข้าสู่ขั้นตอนคณะกรรมาธิการ ข้อนี้ได้ถูกตัดทิ้งไปส่งผลให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากทำหน้าที่ได้เพียงอย่างเดียว คือ หากธนาคารมีปัญหาขึ้นมาแล้ว สถาบันคุ้มครองเงินฝากไม่สามารถช่วยในเรื่องใดได้เลย ทำได้เพียงปล่อยให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินนั้นนั้นเจ๊งและสถาบันคุ้มครองเงินฝากทำได้เพียงจ่ายเงินให้กับผู้ฝากเงินเท่านั้น”นายอภิศักดิ์ กล่าว
กลไกปัจจุบันของระบบสถาบันการเงินไทย มีสถาบันคุมครองเงินฝาก แต่ทำหน้าที่เพียงจ่ายเงินคืนผู้ฝากเงินเท่านั้น ในส่วนของธนาคารหรือสถาบันการเงินที่มีปัญหา ยังขาดเครื่องมือ หรือกลไกเข้าไปดูแล โดยในอดีตเป็นหน้าที่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
สถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งปี 2551 ตามพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ฝากเงินในสถาบันการเงินในกรณีที่สถาบันการเงินซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองถูกปิดกิจการ ผู้ฝากเงินจะได้รับเงินฝากคืนอย่างรวดเร็วภายใต้วงเงินและภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนเงินฝากที่มีจำนวนเกินวงเงินจ่ายคืน จะได้รับคืนเพิ่มเติมจากการชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ปิดกิจการ
สถาบันการเงินจะนำส่งเงินในอัตรา 0.47% ของยอดเงินฝาก โดยจะนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากจำนวน 0.01% อีก 0.46% จะนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559ฐานะกองทุนของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก มีจำนวน 1.15 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นไตรมาสแรกของปีเดียวกัน 1,386 ล้านบาท
ขณะที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินก่อตั้งในปี 2528 เพื่อเป็นกลไกแก้ไขปัญหาในกรณีที่เกิดวิกฤตสถาบันการเงิน มีหน้าที่ช่วยเหลือด้านฐานะตามความจำเป็น รวมทั้งดูแลให้สถาบันการเงินสามารถฟื้นตัวและดำเนินกิจการต่อไปได้ เช่น ให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินโดยมีหรือไม่มีหลักประกัน ซื้อหรือเข้าถือหุ้นในสถาบันการเงิน
ในช่วงวงวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540กองทุนฟื้นฟูฯ ต้องเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินที่มีปัญหาตามนโยบายรัฐบาล จนมีหนี้ที่ภาครัฐต้องชดเชยรวมมูลค่าสูงถึง 1.3 ล้านล้านบาท จนขณะนี้เวลาผ่านไปเกือบ 20 ปี ณ 30 กันยายน 2558 หนี้ส่วนนี้ยังคงสูงถึง 9.98 แสนล้านบาท หรือลดลงเพียง 3.2 แสนล้านบาทเท่านั้น แต่สำนักบริหารหนี้สาธารณะ คาดว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูจะหมดภายในปี 2570
ขณะที่ในปีงบประมาณ 2559 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 รัฐบาลและกองทุนเพื่อการฟื้นฟูร่วมชำระหนี้พันธบัตรของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู ชุดที่ 1 และ ชุดที่ 3 จำนวน 9.98 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นดอกเบี้ย 4.43 หมื่นล้านบาท และเงินต้น จำนวน 5.54 หมื่นล้านบาท
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่าการแก้ไขกฎหมายทำให้กองทุนฟื้นฟูกลับมาทำหน้าที่ได้ตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งในระยะแรก อาจเปรียบเทียบได้กับการเติมห่วงโซ่เดิมที่เคยขาดหายไปในการทำกฎหมายครั้งที่ผ่านมา แต่ยืนยันว่าจะไม่เป็นการเก็บค่าธรรมเนียมจากสถาบันการเงินเพิ่มเติม ยกเว้นกรณีหากเกิดปัญหาจำเป็นที่จะต้องทำการฟื้นฟูแน่นอนว่าจะต้องมีการเรียกเก็บเพิ่มจากสถาบันการเงินนั้นๆ
ส่วนระยะยาวจำเป็นที่จะต้องแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติมหรือไม่นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มองว่า น่าจะเพียงพอและครบถ้วนแล้ว ไม่จำเป็นแก้ไขกฎหมายอื่นเพิ่มเติม กฎหมายเปิดช่องให้แล้ว หากสถาบันการเงินมีปัญหาก็จะมีผู้ไปดูแลทุกอย่างก็จบดีกว่าปล่อยให้ปัญหาบานปลายจนต้องปิดกิจการ หรือ เข้าสู่กระบวนการชำระหนี้
"สำหรับข้อกังวลว่าเมื่อทำการฟื้นกองทุนฟื้นฟูฯขึ้นมาแล้วจะส่งผลทำให้ต้นทุนทางการเงินของประชาชนเพิ่มขึ้นนั้น ยืนยันว่าไม่มีหรือต้นทุนจะไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน แต่ในสภาวะวิกฤติก็จะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอยู่แล้วแต่ผู้ที่จ่ายคือธนาคารหรือสถาบันการเงิน ประชาชนหรือผู้ฝากเงินจะไม่ต้องจ่ายดังนั้นใครที่สร้างปัญหาคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ”
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,223 วันที่ 1 - 4 มกราคม 2560