มิตรดนัย-พันดนัย สถาวรมณี ปลุกวิชาชีพเกษตรกรสู่ความยั่งยืน

24 ธ.ค. 2559 | 01:00 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ธ.ค. 2559 | 06:43 น.
ไอเดียเก๋ๆ หลักคิดดีๆ ใครๆ ก็พูดได้ คิดออก แต่จะทำให้เป็นจริงไม่ใช่เรื่องง่าย 2 พี่น้อง "พอท-มิตรดนัย" และ "พีท-พันดนัย" แห่งตระกูล "สถาวรมณี" บอกเลยว่าเหนื่อย และยาก แต่ถ้าทำได้ มันคือความสำเร็จ

หลักคิดของคนหนุ่ม 2 คนนี้คือ "เราต้องการพัฒนาชีวิตเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน"...มันคือคำพูดที่สวยเก๋ ดูดี แต่ถ้าทำไม่ได้ ทำไม่จริง พูดไปก็แค่นั้น แต่ตอนนี้เขาทั้งคู่กำลังสร้างและต่อยอดสิ่งที่เขาคิดและพูดให้เติบใหญ่ จากต้นทุนชีวิตที่เขามีอยู่แล้ว คือ ความรู้และเงินทุน

"มิตรดนัย" บอกว่า เขาและน้องชายคิดและวางแผนธุรกิจมานานพอสมควร กว่าที่จะดีไวน์ทุกอย่างออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ก็ใช้เวลาอีกเป็นปี โดยความคิดตั้งต้น คือการต่อยอดจากความรู้ของเขา ที่ทำธุรกิจทั้งผลิตและจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ "ผึ้งมังกร" มากว่า 30 ปี หลังจากจบ วิศวะ โยธา มาจากต่างประเทศ ขณะที่น้องชาย จบด้านไฟแนนซ์ ด้วยความคิดของคนรุ่นใหม่ ที่มักย้อนถามตัวเองต้องการทำอะไร และจะทำอย่างนี้ไปจนแก่ตายได้หรือไม่ เมื่อคำตอบของงานที่ทำอยู่ปัจจุบัน คือ ไม่ใช่ เขาก็แสวงหา เริ่มคิด และมองสิ่งที่มีอยู่ จนในที่สุดก็มาตกผลึกกับไอเดียการต่อยอดธุรกิจเกษตร พื้นฐานความรู้ความเชี่ยวชาญที่มีติดตัวอยู่แล้ว มาขยายผล ตามไอเดียของ "เอเยนซี ทางการเกษตร" ที่จะขยายผลต่อยอดวิชาชีพเกษตรกร ไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือธุรกิจอื่นๆ อีกในอนาคต และสิ่งแรกที่พวกเขาสร้างขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่างและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วไปแล้วก็คือ CORO Field (โคโร ฟิลด์) ฟาร์มมิ่งและร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

การเริ่มต้นของพวกเขาไม่ได้ง่ายนัก แม้จะมีทั้งที่ดิน และเงินทุน "พันดนัย" เล่าว่า ที่ที่มีอยู่เป็นดินทราย มีชั้นหินเยอะ ขุดลงไปข้างล่างเป็นน้ำซับ ขุดไป 2-3 เมตรจะเจอน้ำ แต่ไม่มีน้ำ อากาศก็ค่อนข้างร้อน การปลูกพืชให้ผลิดอกออกผลจึงยากมากๆ พวกเขาต้องหาความรู้ แล้วค่อยๆ แก้ปัญหาไปทีละเปราะ เงินทุนกว่า 60% หมดไปกับการค้นคว้าวิจัยและการวางระบบ เพื่อให้พื้นที่กว่า 100 ไร่ กลายเป็นพื้นที่ที่สามารถเพาะปลูกได้ผล และในความโชคร้าย ก็มีความโชคดีคือ เมื่อขุดไปเรื่อยๆ ทำให้เจอตาน้ำ 12 ตา เจอน้ำแร่ ซึ่งช่วยทำให้ผักมีความกรอบอร่อย

เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อม ไอเดียในการสร้างธุรกิจก็ต้องมีความแตกต่าง บางคนอาจจะบอกว่า สไตล์ที่ โคโร ฟิลด์ ทำ ก็ไม่ต่างอะไรจากฟาร์มที่ญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งอาจจะใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะไอเดียตั้งต้นของพวกเขาคือการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน ทำเรื่องยากๆ ให้เกษตรกรเห็นว่า ไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องศึกษาและรู้จักแก้ปัญหา ดังนั้นพืชที่พวกเขาเลือกมากปลูก จึงเป็นพืชที่ปลูกยาก อย่าง เมล่อน และมะเขือเทศพันธุ์เชอร์รี่ พันธุ์ฮอนแลนด์ หลังจากนั้นก็เติบกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น การรับอุปการะต้นไม้ การทดลองปลูกผักด้วยตัวเอง มาเป็นการสีสันดึงดูดนักท่องเที่ยว

mp29-322002 ระยะเวลาประมาณ 1 ปี ที่ โคโร ฟิลด์ เปิดอย่างเป็นทางการ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก และปี 2560 จะเป็นปีที่พวกเขาเริ่มขยายกิจการ เริ่มนำผลผลิตส่งเข้ามาจำหน่ายในกรุงเทพฯ เช่น วิลล่ามาร์เก็ต และจะขยายไปที่อื่นๆ ภายใต้แบรนด์ โคโร ซึ่งต่อไป แบรนด์โคโร จะเป็นแบรนด์กลางของสินค้าและบริการอื่นๆ ภายใต้บริษัท เอสวี กรุ๊ปฯ และที่จะได้เห็นเร็วๆ นี้ คือ "ร้าน โคโร ฟาร์มเมอร์ คาเฟ่" กับคอนเซ็ปต์ร้านที่จะมีทั้งสินค้าเกษตรทั้งจากโคโร ฟิลด์ฟาร์ม และจากเกษตรกรอื่นๆ รวมทั้งอาหาร สมูทตี้ ไอศกรีม เป็นการดึงพืชผลเกษตรดีๆ มาสู่คนเมือง ซึ่งสาขาแรกจะเปิดที่ เอสพลานาด รัชดาฯ ด้วยเงินลงทุนอีกกว่า 10 ล้านบาท และจะมีสาขาที่ 2 แน่นอน ซึ่งอาจจะเป็นที่ เมกะ บางนา เป็นสาขาต่อไป

ขณะนี้ แนวคิด "การพัฒนาชีวิตเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน" ของ 2 พี่น้อง กำลังเติบโตและขยายผล มันไม่ใช่เพียงแค่ประโยคเท่ๆ แต่มันกำลังกลายเป็นสิ่งเท่ๆ ที่คนรุ่นใหม่ 2 คนกำลังช่วยกันสร้างให้เกิดเป็นรูปธรรม ซึ่งอนาคตพวกเขาบอกเลยว่า อะไรที่สามารถแปรรูป ต่อยอดให้การเกษตรเป็นอะไรที่ไม่น่าเบื่อ ไม่ล้าหลัง นั่นคือสิ่งที่พวกเขาจะทำต่อไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้จบเลยทีเดียว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,220 วันที่ 22-24 ธันวาคม 2559