ปิดฉากขายตรงปี 59 ทรงตัวแนะปรับทิศธุรกิจหันรุกออนไลน์-หวังปีหน้ากำลังซื้อฟื้น

18 ธ.ค. 2559 | 07:00 น.
ปิดฉากขายตรงปี 59 ตลาด 6.2 หมื่นล้านบาทยังทรงตัว จากยอดผู้ประกอบการกว่า 200 บริษัท เหตุจากเศรษฐกิจและกำลังซื้อลด ชี้ทิศธุรกิจปีหน้าส่อแววฟื้นตัว แนะเร่งทำตลาดช่องทางออนไลน์ อี-คอมเมิร์ซ รับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค

นางสุชาดา ธีรวชิรกุล ในฐานะนายกสมาคมการขายตรงไทย (Thai Direct Selling Association : TDSA) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากการสำรวจผลประกอบการจากบริษัทที่ดำเนินธุรกิจขายตรงกว่า 200 บริษัท พบว่าภาพรวมธุรกิจขายตรงในปี 2559 น่าจะอยู่ในภาวะทรงตัวจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่ากว่า 6.2 หมื่นล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสภาพตลาดขายตรงในปีนี้ ยังคงเป็นปัจจัยในเรื่องภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อโดยรวมที่ไม่ดี ทำให้มูลค่าตลาดไม่มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่หากเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ยังถือว่าธุรกิจขายตรงได้รับผลกระทบน้อยกว่าธุรกิจอื่น

"นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ไม่ดีมาก ธุรกิจขายตรงยังมีปัญหาเรื่องภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น จากผู้ประกอบการอื่นๆ ที่เข้ามาทำธุรกิจในช่องทางออนไลน์ ซึ่งสินค้าอยู่ในกลุ่มเดียวกัน และยังมีสินค้าหลากหลายมากขึ้น แต่ภาพรวมธุรกิจยังทรงตัวได้ จากความเข้มแข็งของธุรกิจขายตรง ทั้งจากจำนวนนักธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้น และจำนวนผู้บริโภคที่มากขึ้น บ่งบอกว่าตลาดยังดี แม้ว่าคนอาจจะใช้จ่ายไม่มากเท่ากับปีที่เศรษฐกิจดี แต่จำนวนนักธุรกิจและผู้บริโภคที่มีมากตลาดจังยังทรงตัวอยู่ได้"

ขณะที่ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ แม้ว่าจะมีมาตรการของรัฐบาลออกมากระตุ้นกำลังซื้อ ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงินคนจน 1,500 บาท การช็อปช่วยชาติเพื่อนำมาหักลดหย่อนภาษี หรือการนำค่าใช้จ่ายในด้านการท่องเที่ยวมาลดหย่อนภาษีก็ตาม ขณะนี้ยังไม่เห็นผลชัดเจนต่อธุรกิจขายตรง และยังไม่เห็นพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยในธุรกิจที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าในปีหน้าจะเห็นความชัดเจนของการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เพราะผู้บริโภคประหยัดการใช้จ่ายมาระยะหนึ่งแล้ว น่าจะมีการจับจ่ายใช้สอยในสินค้าต่างๆ มากขึ้น

นางสุชาดา กล่าวอีกว่า ทิศทางธุรกิจขายตรงในปีหน้า ยังมองว่ามีแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าจะเติบโตได้ในอัตรา 2-3% จากปัจจุบัน ซึ่งปัจจัยที่น่าจะมีส่วนผลักดันให้ตลาดขายตรงเติบโต มาจากการที่ผู้ประกอบการพยายามพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายในออนไลน์และอีคอมเมิร์ซให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มผู้ประกอบการต่างมุ่งที่จะพัฒนาช่องทางดังกล่าว เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักธุรกิจและสมาชิกของตนเอง ปัจจุบันสมาชิกสมาคม 32 บริษัท ยังมีเพียง 50% ที่ทำตลาดออนไลน์ โดยคาดว่าจะมีการพัฒนาโมบายแอพพลิเคชัน เว็บไซต์ แฟนเพจ และอี-คอมเมิร์ซออกมามากขึ้น

ส่วนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ยังไม่เห็นการเข้ามาดำเนินธุรกิจจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มมากขึ้นจนมีนัยสำคัญ บริษัทที่เปิดใหม่ในปีนี้ถือเป็นการเข้ามาโดยปกติ ซึ่งในรอบปี 2559 มีบริษัทที่เปิดใหม่ประมาณ 100 บริษัท สาเหตุที่บริษัทจากต่างชาติยังไม่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากนัก จากการเปิดเออีซี น่าจะเป็นเพราะปัจจุบันยังไม่เห็นสิทธิประโยชน์หรือการส่งเสริมธุรกิจระหว่างกันอย่างชัดเจน แต่ที่ผ่านมาทางสมาคมได้ทำงานร่วมกันระหว่าง 6 ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และประเทศไทย โดยเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และให้คำแนะนำหากจะเข้าไปทำธุรกิจขายตรงในแต่ละประเทศ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,219 วันที่ 18-21 ธันวาคม 2559