Play
ซัมซุงดัน‘ฮาร์แมน’แข่งแอปเปิล หลังทุ่ม8พันล.ดอลล์ฮุบ-ใช้ไฮเทคชิงแชร์ตลาดยานยนต์
ซัมซุงประกาศซื้อกิจการของฮาร์แมน อินเตอร์เนชั่นแนล อินดัสทรี้ส์(Harman International Industries) ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์และเครื่องเสียงชั้นนำด้วยมูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.8 แสนล้านบาทหวังก้าวเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดรถยนต์แข่งขันกับคู่แข่งหลายรายในวงการเทคโนโลยี
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ได้ยื่นเสนอซื้อหุ้นของฮาร์แมน อินเตอร์เนชั่นแนลอินดัสทรี้ส์ ด้วยมูลค่า 112 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่าของข้อตกลงในครั้งนี้สูงถึง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.83 แสนล้านบาท) โดยคาดว่าการซื้อขายนี้จะสำเร็จลุล่วงภายในกลางปี 2560 และจะทำให้ฮาร์แมนกลายเป็นบริษัทลูกของซัมซุง
นายโอ ฮยุนควอน รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ฯ กล่าวว่า ฮาร์แมนเป็นบริษัทที่สามารถช่วยเติมเต็มองค์ประกอบต่างๆ ที่ซัมซุงขาดไปได้ ทั้งทางด้านเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และโซลูชัน การเข้าซื้อกิจการของฮาร์แมนในโอกาสนี้จะช่วยให้ซัมซุงพัฒนากลยุทธ์สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ทางบริษัทพยายามพัฒนามาระยะหนึ่งแล้ว
เป้าหมายหลักของการเข้าซื้อกิจการของซัมซุง คือพยายามเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัทให้เข้าสู่ตลาดยานยนต์เหมือนดังเช่นบริษัทคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิลและกูเกิลและด้วยเทคโนโลยีของฮาร์แมนก็จะช่วยผลักดันให้ ซัมซุงสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ด้านนวัตกรรมยานยนต์ได้เป็นผลสำเร็จ
ทั้งนี้ ก่อนที่บริษัทฮาร์แมนฯ จะผันตัวมาทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์แบบเต็มตัว บริษัทได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องเสียงภายใต้แบรนด์ฮาร์แมน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียง ไปจนถึงชิ้นส่วน และโซลูชันต่างๆ ของรถยนต์ จนกลายเป็นรายได้หลักของทางฮาร์แมน ซึ่งจากปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากธุรกิจส่วนนี้ราว 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.45 แสนล้านบาท) หรือ 65 % ของรายได้ทั้งหมด ปัจจุบันฮาร์แมนเป็นผู้นำตลาดโซลูชันอัจฉริยะภายในห้องโดยสารของรถยนต์ โดยมีรถยนต์กว่า 30 ล้านคันที่ติดตั้งโซลูชันอัจฉริยะภายในห้องโดยสารรูปแบบต่างๆ ที่ผลิตโดยฮาร์แมน ทั้งแบบระบบอินโฟเทนเมนต์บนคอนโซล ระบบโทรมาตรสำหรับการนำทาง และระบบเพื่อความปลอดภัยของรถแบบอัจฉริยะ
นายดิเนช พาลิวาล ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการของฮาร์แมน กล่าวว่า "การเข้าซื้อกิจการของฮาร์แมนด้วยเงินสดในครั้งนี้มอบผลประโยชน์มหาศาลให้กับผู้ถือหุ้นของเราและยังช่วยเปิดโอกาสให้พนักงานของเราได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่มีขนาดใหญ่และมีธุรกิจที่หลากหลายยิ่งขึ้น การประกาศเข้าซื้อกิจการโดยซัมซุงในวันนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จของเราและยังสะท้อนถึงคุณค่าของบริษัทของเราที่ผู้ถือหุ้นของเราสามารถสัมผัสได้"
จากการทุ่มเงินซื้อกิจการบริษัทฮาร์แมนฯ ทำให้ซัมซุงกลายเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำในเครือมากมายของฮาร์แมน อาทิ JBL, Harman Kardon, Mark Levinson, AKG, Lexicon, Infinity และ Revel รวมถึงแบรนด์ Bowers & Wilkins และ Bang &Olufsen ผู้ผลิตเครื่องเสียงชั้นนำ ที่ฮาร์แมนได้รับสิทธิ์ให้ผลิตชุดเครื่องเสียงติดรถยนต์ ซึ่งแบรนด์เครื่องเสียงทั้งหมดในเครือฮาร์แมนเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับซัมซุงในธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร หน้าจอ บริการโลกเสมือนจริง และอุปกรณ์อัจฉริยะสวมใส่ได้
นอกจากธุรกิจด้านรถยนต์แล้ว ซัมซุงก็หวังที่จะนำเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ของทางฮาร์แมนมาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆของทางบริษัทให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านของระบบเครื่องเสียงและเรื่องของอุปกรณ์เชื่อมต่อหรือเรียกอีกอย่างว่าเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) โดยมีเป้าหมายที่จะทำธุรกิจครบวงจร ทั้งระบบผู้ใช้งานทั่วไป ไปจนถึงระบบองค์กรธุรกิจต่างๆ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,211 วันที่ 20 - 23 พฤศจิกายน 2559
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ได้ยื่นเสนอซื้อหุ้นของฮาร์แมน อินเตอร์เนชั่นแนลอินดัสทรี้ส์ ด้วยมูลค่า 112 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่าของข้อตกลงในครั้งนี้สูงถึง 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.83 แสนล้านบาท) โดยคาดว่าการซื้อขายนี้จะสำเร็จลุล่วงภายในกลางปี 2560 และจะทำให้ฮาร์แมนกลายเป็นบริษัทลูกของซัมซุง
นายโอ ฮยุนควอน รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ฯ กล่าวว่า ฮาร์แมนเป็นบริษัทที่สามารถช่วยเติมเต็มองค์ประกอบต่างๆ ที่ซัมซุงขาดไปได้ ทั้งทางด้านเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และโซลูชัน การเข้าซื้อกิจการของฮาร์แมนในโอกาสนี้จะช่วยให้ซัมซุงพัฒนากลยุทธ์สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ทางบริษัทพยายามพัฒนามาระยะหนึ่งแล้ว
เป้าหมายหลักของการเข้าซื้อกิจการของซัมซุง คือพยายามเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัทให้เข้าสู่ตลาดยานยนต์เหมือนดังเช่นบริษัทคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิลและกูเกิลและด้วยเทคโนโลยีของฮาร์แมนก็จะช่วยผลักดันให้ ซัมซุงสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ด้านนวัตกรรมยานยนต์ได้เป็นผลสำเร็จ
ทั้งนี้ ก่อนที่บริษัทฮาร์แมนฯ จะผันตัวมาทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์แบบเต็มตัว บริษัทได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องเสียงภายใต้แบรนด์ฮาร์แมน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียง ไปจนถึงชิ้นส่วน และโซลูชันต่างๆ ของรถยนต์ จนกลายเป็นรายได้หลักของทางฮาร์แมน ซึ่งจากปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากธุรกิจส่วนนี้ราว 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.45 แสนล้านบาท) หรือ 65 % ของรายได้ทั้งหมด ปัจจุบันฮาร์แมนเป็นผู้นำตลาดโซลูชันอัจฉริยะภายในห้องโดยสารของรถยนต์ โดยมีรถยนต์กว่า 30 ล้านคันที่ติดตั้งโซลูชันอัจฉริยะภายในห้องโดยสารรูปแบบต่างๆ ที่ผลิตโดยฮาร์แมน ทั้งแบบระบบอินโฟเทนเมนต์บนคอนโซล ระบบโทรมาตรสำหรับการนำทาง และระบบเพื่อความปลอดภัยของรถแบบอัจฉริยะ
นายดิเนช พาลิวาล ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการของฮาร์แมน กล่าวว่า "การเข้าซื้อกิจการของฮาร์แมนด้วยเงินสดในครั้งนี้มอบผลประโยชน์มหาศาลให้กับผู้ถือหุ้นของเราและยังช่วยเปิดโอกาสให้พนักงานของเราได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่มีขนาดใหญ่และมีธุรกิจที่หลากหลายยิ่งขึ้น การประกาศเข้าซื้อกิจการโดยซัมซุงในวันนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จของเราและยังสะท้อนถึงคุณค่าของบริษัทของเราที่ผู้ถือหุ้นของเราสามารถสัมผัสได้"
จากการทุ่มเงินซื้อกิจการบริษัทฮาร์แมนฯ ทำให้ซัมซุงกลายเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำในเครือมากมายของฮาร์แมน อาทิ JBL, Harman Kardon, Mark Levinson, AKG, Lexicon, Infinity และ Revel รวมถึงแบรนด์ Bowers & Wilkins และ Bang &Olufsen ผู้ผลิตเครื่องเสียงชั้นนำ ที่ฮาร์แมนได้รับสิทธิ์ให้ผลิตชุดเครื่องเสียงติดรถยนต์ ซึ่งแบรนด์เครื่องเสียงทั้งหมดในเครือฮาร์แมนเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับซัมซุงในธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร หน้าจอ บริการโลกเสมือนจริง และอุปกรณ์อัจฉริยะสวมใส่ได้
นอกจากธุรกิจด้านรถยนต์แล้ว ซัมซุงก็หวังที่จะนำเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ของทางฮาร์แมนมาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆของทางบริษัทให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านของระบบเครื่องเสียงและเรื่องของอุปกรณ์เชื่อมต่อหรือเรียกอีกอย่างว่าเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) โดยมีเป้าหมายที่จะทำธุรกิจครบวงจร ทั้งระบบผู้ใช้งานทั่วไป ไปจนถึงระบบองค์กรธุรกิจต่างๆ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,211 วันที่ 20 - 23 พฤศจิกายน 2559