จากการที่กระทรวงการคลัง ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เตรียมแก้เกณฑ์เงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund : TESG fund) เพื่อกระตุ้นตลาดทุนและเสริมความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน โดยคาดจะเสนอเข้ากระทรวงการคลังในเร็ว ๆนี้
ทั้งนี้เงื่อนไข TESG ใหม่ จะขยายวงเงินให้นำไปลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท จากเดิม 1 แสนบาท และปรับลดระยะเวลาถือครองเดิม 8 ปี เหลือเพียง 5 ปี นอกจากนั้นจะเพิ่มประเภทหุ้นยั่งยืนที่ TESG สามารถเข้าไปลงทุนได้อีกประมาณ 200 หุ้น จากเงื่อนไขเดิมที่มีจำนวนกว่า 128 หุ้น ส่งผลให้มีหุ้นที่สามารถลงทุนได้มากกว่า 300 หุ้น
คาด TESG ใหม่ จะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดทุน 30,000 ล้านบาท ในช่วงเวลาเปิดขายหน่วยลงทุน 4- 5 เดือนปีนี้ เมื่อเทียบกับกองทุน TESG ที่ออกมาเมื่อช่วงปลายปี 2566 ที่มีระยะเวลาการดำเนินการเพียง 1 เดือน และมีเม็ดเงินลงทุนราว 6,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดีนอกจากกองทุน TESG (เกณฑ์ใหม่) ปัจจุบันยังมี กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) และ กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund : SSF ) ซึ่งล้วนเป็นกองทุนลดหย่อนภาษี
"ฐานเศรษฐกิจ" จึงได้รวบรวมข้อมูลเงื่อนไข สิทธิประโยชน์ทางภาษี ของทั้ง 3 กองทุน ว่ามีความแตกต่างอย่างไรบ้าง ดังนี้
1.กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน : TESG (เกณฑ์ใหม่)
นโยบายลงทุน :
ต้องลงทุนมากกว่า 80% ของ NAV ดังนี้
สิทธิประโยชน์ทางภาษี :
เงื่อนไขลงทุน :
ขายได้เมื่อไร :
กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน : TESG (เกณฑ์เดิม)
นโยบายลงทุน :
ต้องลงทุนเท่ากับหรือมากกว่า 80% ของ NAV ดังนี้
สิทธิประโยชน์ทางภาษี :
เงื่อนไขลงทุน :
ขายได้เมื่อไร
2.กองทุนรวมเพื่อการออม : SSF
นโยบายลงทุน :
สิทธิประโยชน์ทางภาษี :
เงื่อนไขลงทุน :
ขายได้เมื่อไร
ต้องถือหน่วยลงทุนให้ครบ 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน (แบบวันชนวัน ไม่ใช่นับแบบปีปฏิทิน)
3.กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ : RMF
นโยบายลงทุน :
สิทธิประโยชน์ทางภาษี :
เงื่อนไขลงทุน :
ขายได้เมื่อไร