เทียบฟอร์ม 3 กองทุนลดหย่อนภาษี TESG - RMF- SSF เงื่อนไข สิทธิประโยชน์ภาษี

30 มิ.ย. 2567 | 09:05 น.
อัปเดตล่าสุด :30 มิ.ย. 2567 | 09:12 น.

เช็คข้อแตกต่าง 3 กองทุนลดหย่อนภาษี " TESG -SSF-RMF" เงื่อนไขและประโยชน์ทางภาษี หลังคลังเคาะเกณฑ์ใหม่ TESG เตรียมชงเข้าครม. และเปิดให้นักลงทุนซื้อหน่วยลงทุนได้ ก.ค.นี้

จากการที่กระทรวงการคลัง ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เตรียมแก้เกณฑ์เงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund : TESG fund) เพื่อกระตุ้นตลาดทุนและเสริมความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน โดยคาดจะเสนอเข้ากระทรวงการคลังในเร็ว ๆนี้  

ทั้งนี้เงื่อนไข TESG ใหม่ จะขยายวงเงินให้นำไปลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท จากเดิม 1 แสนบาท และปรับลดระยะเวลาถือครองเดิม 8 ปี เหลือเพียง 5 ปี นอกจากนั้นจะเพิ่มประเภทหุ้นยั่งยืนที่ TESG สามารถเข้าไปลงทุนได้อีกประมาณ 200 หุ้น จากเงื่อนไขเดิมที่มีจำนวนกว่า 128 หุ้น ส่งผลให้มีหุ้นที่สามารถลงทุนได้มากกว่า 300 หุ้น

เทียบฟอร์ม 3 กองทุนลดหย่อนภาษี   TESG - RMF- SSF  เงื่อนไข สิทธิประโยชน์ภาษี

คาด TESG ใหม่ จะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดทุน 30,000 ล้านบาท ในช่วงเวลาเปิดขายหน่วยลงทุน 4- 5 เดือนปีนี้ เมื่อเทียบกับกองทุน TESG ที่ออกมาเมื่อช่วงปลายปี 2566  ที่มีระยะเวลาการดำเนินการเพียง 1 เดือน และมีเม็ดเงินลงทุนราว 6,000 ล้านบาท 

อย่างไรก็ดีนอกจากกองทุน TESG (เกณฑ์ใหม่) ปัจจุบันยังมี กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF)  และ กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund : SSF ) ซึ่งล้วนเป็นกองทุนลดหย่อนภาษี

"ฐานเศรษฐกิจ" จึงได้รวบรวมข้อมูลเงื่อนไข สิทธิประโยชน์ทางภาษี ของทั้ง 3 กองทุน ว่ามีความแตกต่างอย่างไรบ้าง ดังนี้

1.กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน : TESG (เกณฑ์ใหม่) 

นโยบายลงทุน

ต้องลงทุนมากกว่า  80% ของ NAV ดังนี้

  • 1. หุ้นใน SET/MAI โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (E) / ESG หรือเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก หรือระดับการประเมิน CG Ratingของ IOD และมีการเปิดเผยข้อมูลด้านบรรษัทภิบาล (G) ในระดับ และ รูปแบบ ที่ ก.ล.ต. กำหนด
  • 2. ESG Bond 
  • 3. Green Token
  • 4.หุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี ESG ที่ได้รับความเชื่อถือระดับสากล

สิทธิประโยชน์ทางภาษี :

  • เงินลงทุนจากการซื้อหน่วยลงทุน นำมาลดหย่อนภาษีได้ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้น

เงื่อนไขลงทุน :

  • ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี 

ขายได้เมื่อไร :

  • ต้องถือหน่วยลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน (นับแบบวันชนวัน ไม่ใช่นับแบบปีปฏิทิน )


กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน : TESG (เกณฑ์เดิม) 

นโยบายลงทุน

ต้องลงทุนเท่ากับหรือมากกว่า 80% ของ NAV ดังนี้

  • 1. หุ้นใน SET/MAI โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (E) /ESG หรือเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก
  • 2.ESG Bond 
  • 3.Green Token

สิทธิประโยชน์ทางภาษี :

  • เงินลงทุนจากการซื้อหน่วยลงทุนนำมาลดหย่อนภาษีได้ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้น

เงื่อนไขลงทุน :

  • ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี 

ขายได้เมื่อไร

  • ต้องถือหน่วยลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 8 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน  (นับแบบวันชนวัน ไม่ใช่นับแบบปีปฏิทิน )


 

2.กองทุนรวมเพื่อการออม : SSF 

นโยบายลงทุน :

  • ลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภท ( ตามนโยบายของกองทุนนั้น ๆ) อาทิในตลาดเงิน ตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ สินทรัพย์ทางเลือก อาทิ ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนผสม ที่มีนโยบาลการลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์

สิทธิประโยชน์ทางภาษี :

  • ลดหย่อนภาษีได้ โดยไม่กำหนดขั้นต่ำ แต่ต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนเพื่อการเกษียณอื่นๆ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท 

เงื่อนไขลงทุน :

  • ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี 

ขายได้เมื่อไร

ต้องถือหน่วยลงทุนให้ครบ 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน  (แบบวันชนวัน ไม่ใช่นับแบบปีปฏิทิน) 

3.กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ : RMF

นโยบายลงทุน :

  • ลงทุนในสินทรัพย์ได้ทุกประเภท เช่นเดียวกับ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)

สิทธิประโยชน์ทางภาษี :

  • ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และเมื่อรวมกับ SSF และกองทุนเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

เงื่อนไขลงทุน :

  • ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี (หรืออย่างน้อยปีเว้นปี)

ขายได้เมื่อไร

  • ถือจนถึงอายุครบ 55 ปี  และต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน (นับแบบวันชนวัน ไม่ใช่แบบปีปฏิทิน )