"ภากร ปีตธวัชชัย" ชี้สงกรานต์ฉุดวอลุ่มเทรดหด 20% ชูนโยบายรัฐดูดฟันด์โฟลว์

10 เม.ย. 2567 | 00:00 น.

มูลค่าการซื้อขายตลาดหุ้นไทยช่วงสงกรานต์หด 20% เมื่อเทียบช่วงปกติ ชู 3 ปัจจัย ภาวะเศรษฐกิจ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย และทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน ดูดฟันด์โฟลว์กลับเข้าไทย พร้อมเดินหน้าเฟ้นหาผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนใหม่นั่งเก้าอี้แทน "ภากร ปีตธวัชชัย"

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยช่วงต้นเดือนเมษายน 2567 นี้ โดยเฉพาะใกล้สู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ทำให้คาดการณ์ว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยอาจจะมีการปรับตัวลดลงประมาณ 20% เมื่อเทียบกับช่วงปกติ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของทุกๆ ปี ยิ่งพอใกล้เทศกาลสงกรานต์มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยจะลดลง

ขณะที่แนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ในตลาดหุ้นไทยนั้น มองว่าจะกลับขึ้นมาเป็นบวกได้ต้องมี 3 ปัจจัย ได้แก่

  1. ภาวะเศรษฐกิจ
  2. แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
  3. ความสามารถทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)

ซึ่งทั้ง 3 ข้อนี้ ถือเป็นปัจจัยที่จะช่วยดึงฟันด์โฟลว์ได้ รวมถึงที่น่าสนใจมากคือเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ในโลกเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเศรษฐกิจไทยนั้นไม่ได้อยู่เพียงลำพังจากประเทศอื่นๆ จึงทำให้นักลงทุนจะเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างๆ ก็ต้องเอาไปเปรียบเทียบแล้วว่าประเทศไทยกับอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง 

โดยจะเห็นว่าปี 2567 นี้ เริ่มเห็นฟันด์โฟลว์กลับเข้ามาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่พอเดือนมีนาคม ก็ไหลออกไปใหม่ จึงมองว่าหลังจากที่ประเทศไทยมีการใช้จ่ายภาครัฐที่มากขึ้น นโยบายต่างๆ น่าจะช่วยดึงให้ฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาได้ จากการที่มีการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนในประเทศดีขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากจะฝากให้นักลงทุนติดตามข้อมูลต่างๆ ซึ่งตอนนี้ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เห็นแล้วว่าภาครัฐจะเริ่มใช้จ่ายได้ และยิ่งไปกว่านั้นงบต่างๆ ที่จะนำมาใช้มากกว่าปกติในปีธรรมดาด้วย

ทั้งนี้ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิ ส่วนหนึ่งเกิดจากความผันผวนของปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะความไม่แน่นอนของการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่ยังพึ่งพาการส่งออกอยู่ค่อนข้างมาก เมื่อเศรษฐกิจต่างประเทศมีความผันผวนก็กระทบต่อการส่งออกและกระทบต่อเศรษฐกิจตามไปด้วย จึงทำให้นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยออกไปจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย ซึ่งการที่มีกระแสเงินทุนไหลออกไปได้ส่งผลต่อค่าเงินบาทที่อ่อนค่าร่วมด้วย

อย่างไรก็ก็ตาม มองว่าปี 2567 นี้ น่าจะเห็นจุดเปลี่ยนของตลาดหุ้นไทย (Turning Point) เพราะเป็นปีที่จะเห็นภาครัฐใช้จ่ายเงินได้ค่อนข้างมากและจะเริ่มเห็นธุรกิจที่เข้มแข็งกลับมาแข่งขันได้มากขึ้น และหากไม่มีอะไรผิดความคาดหมายอีก ส่วนตัวคิดว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว มองว่าหลังจากที่งบประมาณของภาครัฐเริ่มมีการเบิกจ่ายออกมา ทำให้มีการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐที่ส่งเม็ดเงินออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมที่ช่วยเข้ามากระตุ้นเศรฐกิจในระยะต่อจากนี้ 

จากที่ปัจจุบันปัจจัยหนุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหลักๆมาจาก 2 ส่วน คือ ภาคการส่งออกและภาคท่องเที่ยวที่เป็นปัจจัยหนุนต่อภาพเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย โดยหากมีแรงหนุนจากงบประมาณของภาครัฐออกมาแล้ว ทำให้มีความคาดหวังว่าจะเห็นตลาดหุ้นไทยมีจุดกลับตัวได้ ต้องยอมรับว่าปีนี้ยังคงเป็นอีกปีที่ท้าทายมาก ถึงแม้คาดว่าความไม่แน่นอน (Uncertainty) จะน้อยลง แต่ก็มีประเด็นใหม่เข้ามาได้เสมอ จากเดิมที่คาดว่าพอปัญหาด้านตะวันออกกลางเริ่มหรือยุโรปชัดเจนแล้ว แต่ปีนี้ข้ามมาข้างประเทศไทยเลย ซึ่งมีอะไรที่เซอร์ไพรส์ได้เสมอ

*ขยายเวลาเทรด
ในเรื่องของการขยายเวลาเทรดตอนเที่ยงนั้น อันที่จริงแล้วต้องการให้การซื้อขายของตลาดหุ้นไทยมีเวลาใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ เป็นหลัก ซึ่งไม่ได้มองว่าปริมาณการซื้อขายจะต้องเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างไร เพราะเป็นการเพิ่มเวลาเทรดครึ่งชั่วโมงช่วงเปิดตลาดภาคบ่าย โดยปกติฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้ามาส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนต่างประเทศ เพราะปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนในประเทศช่วงเที่ยงมักหยุดพักการซื้อขายอยู่แล้ว 

ส่วนสาเหตุที่ไม่เพิ่มเวลาเทรดช่วงเช้าและช่วงเย็น เพราะตลาดหุ้นไทยเปิดหลังตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ราว 1 ชั่วโมง ถือเป็นจุดได้เปรียบ เพราะทุกคนไปเริ่มเข้าไปซื้อขายในตลาดอื่นๆ แล้ว แต่ในช่วงเวลาของเรามีเพียงตลาดเราเท่านั้นที่เพิ่งเปิดอยู่คนเดียว ทำให้ไม่ต้องไปแข่งขันกับตลาดหุ้นอื่นๆ จึงเป็นเหตุผลที่ไม่มีการขยายเวลาเทรดในตอนเช้า ส่วนตอนเย็นตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดสุดท้ายที่ปิด จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องขยายเวลาเทรดตอนเย็น ดังนั้นจึงเลือกขยายเวลาเทรดตอนกลางวัน เพื่อให้นักลงทุนมีเวลาในการซื้อขายมากขึ้น 

 

*ผลกระทบการเมืองเมียนมา
ปัญหาการเมืองในประเทศเมียนมาร์ต่อการค้าของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) มองว่าเศรษฐกิจของไทยขึ้นอยู่กับในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งการส่งออกของไทยมีไปในเอเซียมากที่สุด รองลงมาคืออาเซียน ส่วนในภูมิภาค CLMV ก็ส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นการทำธุรกิจกับประเทศที่มีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับการเมืองก็อาจมีผลกระทบอยู่บ้าง แต่หากไปดูผลกระทบทางการค้าระหว่างไทยกับเมียนมาร์อาจยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับประเทศในเอเซียหรืออาเซียนอื่นๆ แต่แน่นอนมีผลกระทบบางส่วน จึงมองว่าตรงนี้ต้องมาดูกันระยะยาวว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร เพราะการค้าขายของไทยและเมียนมาร์คงปิดยาวๆ ไม่ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าจะกลับมาซื้อขายกันปกติได้เมื่อไหร่ รวมถึงความชัดเจนว่าหลังจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรต่อ

 

*เฟ้นหา ผจก.ตลท. คนใหม่
สำหรับการเปิดรับสมัครผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนใหม่ ปัจจุบันยังคงมีการเปิดรับสมัครบุคคลที่สนใจเข้ามาเป็นสมัครเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนใหม่อยู่จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 ซึ่งเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความสามารถ และมีวิสัยทัศน์ที่ดีที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเข้ามาสมัครเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงเดินหน้าในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยให้สอดคล้องไปกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมตลาดทุนไทยในด้านการเป็น Regional Capital Matket ต่อไป