การซื้อขายหุ้น บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2567 ถึง 1 มี.ค. 2567 กลายเป็นประเด็นร้อนตอบโต้กันไปมาระหว่าง นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ MGI กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หลังจากนายนายณวัฒน์ ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่าการซื้อขายหุ้น MGI ถูก Naked Short Selling โดยใช้โรบอทเทรด ทุบติดฟลอร์ 2 วันติดต่อ ส่งผลให้มาร์เก็ตแคป 2 วันวูบ 3.5 พันล้านบาท
ขณะที่ตลท.ชี้แจงว่า MGI เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้รับการอนุญาตให้ทำ short selling การซื้อขายในวันที่ 29 ก.พ.และ 1 มี.ค. 67 ที่พบว่า เป็นการซื้อขายของผู้ลงทุนรายย่อยประมาณ 98% และเป็นการซื้อขายด้วย Program trading มีประมาณ 2% ซึ่งมีหุ้นในจำนวนเพียงพอก่อนขาย
ทั้งนี้ สัดส่วนการซื้อขายของ Program trading ตั้งแต่เข้าซื้อขายวันแรก – 1 มี.ค. 67 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือ อยู่ที่ประมาณ 3.10% ขณะที่ผู้ลงทุนไทยที่ซื้อขายผ่าน Thai NVDR อยู่ที่ 2.8% โดยจากการปิดสมุดทะเบียนล่าสุด (9 ม.ค.67) ผู้ถือผ่าน Thai NVDR รายใหญ่ เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น 10 อันดับแรกของ MGI (สามารถทราบรายชื่อผู้ถือ Thai NVDR ได้จาก SET website)
ขณะเดียวกัน สภาพการซื้อขายมีความผันผวน และเก็งกำไรสูง โดยมีราคาเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน และไม่พบ Material information สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ดังนี้ P/E และ P/BV ที่ 85.41 และ 22.40 เท่า ตามลำดับ อัตราการหมุนเวียนเปลี่ยนมือที่แสดงภาวะการเก็งกำไร อยู่ที่ประมาณวันละ 7% (ในขณะที่ mai อยู่ที่ 0.25%)
คาใจ transaction ช่วงหุ้นตกรุนแรง
ล่าสุดนายณวัฒน์ ได้ออกมาให้ความเห็นต่อคำชี้แจงของตลท. ระบุว่า เมื่อตลท.แจ้งมาเช่นนี้แล้วก็คงต้องยอมรับไปตามที่ทาง ตลท. ชี้แจงออกมา เพียงแต่ยังมีความคาใจอยู่ เพราะยังไม่ได้เห็นข้อมูลรายละเอียดจริงของการทำธุรกิจ (transaction) ที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาแบบรุนแรง ตามที่เคยร้องขอกับทาง ตลท. ไปก่อนหน้านี้
การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นที่เกินกว่าเหตุ มันไม่มีเหตุผลอะไรรองรับเลย เราเองก็พยายามอย่างหนักที่จะปกป้องนักลงทุนและชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นให้นักลงทุนได้ทราบ แต่การร้องขอ transaction กับทาง ตลท. ไปในช่วงวันพฤหัสบดี (29 ก.พ.67) หลังปิดตลาดช่วง 16.30 น. ทางตลท. ให้คำตอบมาว่า หากต้องการจะดู transaction ที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าว ต้องมีการยื่นเรื่องขอมาล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วันทำการ
ถ้าเปรียนสถานการณ์ที่เกิดกับเราในตอนนี้ก็เหมือนเกิดเหตุไฟไหม้ แต่ทางดับเพลิงบอกว่าต้องแจ้ง 3 วันล่วงหน้า คำถามคือ แล้วใครจะรู้อนาคตว่าจะเกิดไฟไหม้ อันที่จริงอำนาจในมือของทาง ตลท. สามารถขอความร่วมมือจากโบรกเกอร์ที่มีหุ้น MGI ให้มาชี้แจงรายละเอียด transaction ได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้น
จากเฝ้าสังเกตการซื้อขายเมื่อวันที่ 29 ก.พ.67 เหลือประมาณ 2 นาทีก่อนเปิดที่ 84.75 บาท แต่มีนักลงทุนขายออก 1 ล้านหุ้น ทำให้ราคาที่ 84.75 บาท ลดลงเหลือ 55.00 บาท หรือลงมากว่า 120 ช่อง ซึ่ง gap ที่กระโดดระดับนี้ไม่มีความปกติของการซื้อขายที่ไหนที่ทำกัน
สำหรับหุ้น MGI เป็นหุ้นขนาดเล็กมาก แต่เมื่อวันที่ 29 ก.พ.67 กลับมีมูลค่าการซื้อขายเฉียด 580 ล้านบาท ซึ่งเยอะเกิน และมีจำนวนหุ้นมากเกินกว่าจำนวนที่หมุนเวียนในตลาด โดยช่วงจะปิดตลาด ( 29 ก.พ.67) เหลือประมาณ 7 แสนกว่าหุ้น แต่พอปิดการซื้อขายมีหุ้นเข้ามารวมๆ แล้ว เป็น 1.9 ล้านหุ้น
จึงมีคำถามว่าหุ้นที่เพิ่มเข้ามา มาจากไหน เห็นๆ ว่าตัวเลขของปริมาณหุ้นมันไม่เท่ากัน จุดนี้เองก็เป็นเรื่องที่บริษัทยังติดใจว่า 1 ล้านหุ้นที่โดนทุบไปเป็นของใคร เพราะตามสมุดบัญชีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีจำนวนมากๆ บริษัทมีอยู่แล้วในมือ ได้มีการติดต่อสอบถามไปทางผู้ถือหุ้นทุกรายว่ามีการปล่อยออกไปหรือไม่ ซึ่งทุกคนยังคงถืออยู่ในปริมาณเท่าเดิม
"คิดง่ายๆ ว่า การลงทุนใครก็อยากได้กำไร ถึงขายทีละ 1 ช่อง หรือ 0.25 บาท ก็ยังสามารถทยอยขายกำไรได้เรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน ซึ่งก็ยังคงได้กำไรอยู่ ต่างจากการทุบราคาหุ้นลงมาขนาดนี้ แล้วใครที่อยากจะมีกำไรลดลง การกระทำแบบนี้ทำให้เสียผลประโยชน์อย่างมาก หลังที่โดนทุบราคาลงเราเองก็ไม่นิ่งนอนใจ พอรู้ตัวก็ได้ตั้งกล้องถ่ายการเทรดของหุ้น MGI แบบเรียลไทม์ เพื่อให้มีข้อมูลมาย้อนหลังดู ทำให้เราได้เห็นอะไรเยอะมาก ส่วนจากนี้จะมีการร้องเรียนหรือส่งคำร้องขอความอนุเคราะห์อะไรจากทาง ตลท. เพิ่มเติมหรือไม่นั้น ก็ต้องบอกว่าคงพอแล้ว เพราะคาดว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาก็คงไม่ต่างจากเดิม อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็มีหุ้นหลายตัวก็เผชิญกับปัญหาเช่นนี้ ก็ได้รับคำตอบที่คล้ายคลึงกัน"นายณวัฒน์กล่าว
ขณะเดียวกันจากการพูดคุยกับทางนักวิเคราะห์ในช่วงที่ผ่านมา ก็มีความเห็นที่ตรงกันว่า ไม่ว่าจะใช้โรบอทเทรด (Robot Trading) หรือการ Short Selling มองว่าเป็นการทำลายตลาด ทำร้ายนักลงทุนรายย่อย และมีผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจ คู่ค้าของกิจการ ตลาดจนสปอร์นเซอร์ของบริษัทไปด้วย
นายณวัฒน์ มองว่าการขายหุ้นเก็งกำไรเป็นเรื่องปกติมาก แน่นอนว่านักลงทุนที่ลงทุนเพราะต้องการกำไร การขายจึงอยู่ในเกมเพราะมีหุ้นในมือ ในขณะที่การ Short Sell ไม่ได้อยู่ในเกม เป็นการเอาปัญญาประดิษฐ์มาแข่งขันกับมนุษย์ธรรมดา แล้วใครจะไปสู้ได้ ปัญญษประดิษฐ์สามารถทำคำสั่งขายแล้วเสร็จได้ภายใน 1 วินาที ขณะที่มนุษญ์ธรรมดากับมีขั้นตอนมากมายกว่าจะกดรายละเอียดและยืนยันการขายได้ แล้วจะไปทันกันได้ยังไง มันไม่แฟร์เลยกับนักลงทุนรายย่อย
ถึงจะบอกว่า MGI มีสัดส่วนโปรแกรมเทรดที่ 3% น้อยมากเมื่อเทียบกับรายย่อย แต่ส่วนตัวมองว่า แม้แต่ 0.1% ก็ไม่แฟร์เลย มันคือ "ความไม่เท่าเทียมทางการค้า" ระหว่างคน ไม่สมควรเลย ต้องเข้าใจด้วยว่าไทยเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ดังนั้น การเข้าถึงเทคโนโลยีของแต่ละคนย่อมไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว ก็อยากให้เอาตรงนี้ไปคิด ไปหาแนวทางแก้ไข ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม สงสารรายย่อยที่ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาสอบถามข้อมูลในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ถือลิขสิทธ์มิสแกรนด์ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนที่ค่อนข้างมีศักยภาพ มีฐานะทางการเงินที่ดี และมองหาโอกาสในการลงทุนยังธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีและมีอนาคตไกลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นายณวัฒน์ กล่าวถึง สภาพคล่องของปริมาณการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือ Free Float ว่าในปัจจุบันอยู่ในระดับที่มีความเหมาะสมต่อขนาดของธุรกิจแล้ว หากในอนาคตมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องและเป็นที่ต้องการของนักลงทุนที่มากขึ้น ก็จะมีการปรึกษากับทางที่ปรักษาทางการเงิน เพื่อหาแนวทางในการขยายปริมาณ Free Float ในอนาคต อย่างไรก็ดี ในตอนนี้บริษัทอยากมุ่งเน้นในการสร้างการเติบโตให้กับธุรรกิจบนพื้นฐานที่ชัดเจน อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันบริษัทยังไม่มีความสนใจที่จะย้ายการเทรดจาก mai ไปอยู่ SET ในเร็วๆ นี้
เปิดแผน MGI ปี 67 คาดรายได้โต2เท่า
ในส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมไว้ที่ประมาณ 2 เท่า จากปี 2566 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 617.04 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 119.25 ล้านบาท ผ่านการขับเคลื่อนของ 5 ธุรกิจหลัก โดยโครงสร้างรายได้ในปี 2566 แบ่งออกเป็น Commerce หรือ ธุรกิจพาณิชย์ 41.2%, Talent หรือ ธุรกิจบริหารจัดการศิลปิน 21.9%, Pagent หรือ ธุรกิจการจัดประกวดมิสแกรนด์ 13.8%, X-Periences และ Media หรือ ธุรกิจสื่อและบันเทิง ที่ประมาณ 13% และ 5.2% ตามลำดับ, MGI Hall 3.9% และอื่นๆ 0.9% เป็นต้น
สำหรับงานแกรนด์คอนเสิร์ต อิน ยูเอสเอ ที่จะมีเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2567 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจปกติของบริษัทที่ดำเนินการอยู่แล้วในส่วนของธุรกิจสื่อและบันเทิง มองว่าบริษัทจะมีรายได้มาจาก 4 ยูนิตหลัก ได้แก่
1. รายได้จากการการว่าจ้างศิลปินอย่างเป็นทางการ ซึ่งทางฝ่ายผู้จัดจะต้องมีการจ่ายมัดจำให้กับบริษัทมาจำนวนหนึ่ง
2. รายได้จาก Merchandise (เป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดในรูปแบบหนึ่งให้กับแบรนด์ ผ่านสินค้าของศิลปิน) ที่จำหน่ายภายในงานคอนเสิร์ต
3. Close Group หรือกลุ่มปิด ที่สามารถเข้ามาดูกิจกรรมได้แบบที่ไม่ต้องซื้อบัตรเข้ามาดู
4. Sponsorsship ที่ทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกับผู้บริโภคผ่านการเป็นผู้สนับสนุนในคอนเสิร์ต เบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทไม่น้อยกว่า 8 หลัก
ขณะที่เปิดตัวละครซีรี่ย์เรื่องใหม่ ชื่อ “หยดฝนกลิ่นสนิม” ลงนามสัญญาการผลิตระหว่างบริษัทกับบริษัท ทีวีธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีนักแสดงนำ นางสาวอิงฟ้า วราหะ และ นางสาวชาล็อต ออสติน คาดเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 3/2567 นี้ เป็นต้นไป สนับสนุนให้รายได้ปี 2567 เป็นตามเป้าหมายที่วางไว้