เฉลย “หุ้น MGI” ใครลากราคาจนผิดปกติ 2 เดือนพุ่งเกือบ 700%

21 ก.พ. 2567 | 02:19 น.

เฉลย ใครลาก “หุ้น MGI” บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ของ “ณวัฒน์ อิศรไกลศีล” จนราคาร้อนแรง ผิดปกติ 2 เดือนพุ่งเกือบ 700% จนถูก ตลท.ขึ้นเครื่องหมาย P หยุดพักการซื้อขาย 1 วัน

“หุ้น MGI” หรือ บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ฉายา “หุ้นนางงาม” ของ “ณวัฒน์ อิศรไกลศีล” ในฐานะผู้ก่อตั้งธุรกิจและผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วน 42.68% ที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงกำลังถูกจับตาและถูกตรวจสอบจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.

ต้องยอมรับว่าหลังหุ้น MGI ซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI) เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2566 ราคาก็ร้อนแรงมาโดยตลอด จนตลท. ต้องออกมาเบรกความร้อนแรง หุ้น MGI ในวันที่ 28 ธ.ค. 2566 ด้วยการประกาศให้เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย ระดับ 1 : ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance ในหุ้น MGI โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2567 - 18 ม.ค. 2567 

จากนั้นในวันที่ 18 ม.ค. 2567 ตลท.ได้ขยายเวลามาตรการกำกับการซื้อขาย ระดับ 1 ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance ในหุ้น MGI โดยให้มีผลตั้งแต่ 19 ม.ค. 2567 - 8 ก.พ. 2567

6 ก.พ. 2567 ตลท. ยกระดับการดูแลหุ้น MGI มาตรการหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย ระดับ 2  ห้าม Net Settlement, ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance ในหุ้น MGI โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. 2567 - 27 ก.พ. 2567

แต่ราคาหุ้น MGI ก็ยังร้อนแรงไม่หยุด กระทั่งวันที่ 19 ก.พ. 2567 ตลาดหลักทรัพย์ต้องใช้มาตรการขั้นสูงสุด ขึ้นเครื่องหมาย P เพื่อหยุดพักการซื้อขายหุ้น MGI 1 วันทำการ โดยขึ้นเครื่องหมาย P ในวันที่ 20 ก.พ. 2567 และปลดเครื่องหมาย P ในวันที่ 21 ก.พ.2567 โดยตลท.ให้เหตุผลว่า การซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ จนเป็นเหตุให้เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย Level 3

ณวัฒน์ อิศรไกลศีล

ขณะเดียวกันยังมีหนังสือให้บริษัทชี้แจงข้อมูล ถึงพัฒนาการใดๆ ที่อาจส่งผลต่อราคาหลักทรัพย์ของ บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MGI) เนื่องจากพบว่าสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากวันก่อนหน้าเพื่อให้ผู้ถือหุ้นและหรือผู้ลงทุนได้มีข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างครบถ้วน ซึ่งนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ทำหนังสือชี้แจงตลท. ดังนี้

1. บริษัทมีพัฒนาการใดๆ ที่ยังไม่ได้เปิดเผย หรือสารสนเทศที่มีนัยสำคัญที่บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาและอาจเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯในระยะเวลาอันใกล้ เช่น การเพิ่มทุน การร่วมทุน การได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินหรือข้อพิพาทที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพการซื้อขายที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ 
ตอบ : ไม่มี

2. บริษัททราบถึงสาเหตุอื่นใดที่อาจส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหรือไม่ 
ตอบ : ไม่มี

3. สารสนเทศอื่นที่บริษัทต้องการชี้แจง (ถ้ามี) 
ตอบ : ไม่มี

เมื่อย้อนไปดูราคา หุ้น MGI ตั้งแต่วันแรกที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2566  พบว่าราคาพุ่งอย่างต่อเนื่องจากราคา IPO ที่กำหนดไว้หุ้นละ 4.95 บาท เปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 6.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.30 บาท หรือ 26.26% จากราคา IPO ที่กำหนดไว้หุ้นละ 4.95 บาท ผ่านไป 2 เดือนราคาขึ้นมาอยู่ที่  34.50 บาท ในวันที่ 19 ก.พ. 2567 เพิ่มขึ้น 29.55 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 696.96% หรือเกือบ 7 เท่าจากราคา IPO

แหล่งข่าวจากวงการตลาดหุ้น เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า หากดูจากมูลค่าการซื้อขายหุ้น MGI ในแต่ละวันจะพบว่ามีมูลค่าการซื้อขายไม่มาก จึงง่ายที่นักลงทุนบางกลุ่มจะลากราคาขึ้นไปจนร้อนแรง ซึ่งข้อมูลเชิงลึกพบว่าราคาหุ้นที่พุ่งขึ้น มาจากขาใหญ่ที่อ้างว่าเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า หรือ VI 2 คน ทำการโยนหุ้นไปมาผ่านตัวแทน เพื่อให้ราคาหุ้นมีความน่าสนใจ แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากนักลงทุน จนต้องลากราคาขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งตลท. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต. กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ถูกปลดเครื่องหมาย P ไปในวันนี้ (21 ก.พ.67) ราคาหุ้น MGI ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงถูกดันต่อไปชน 41.50 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท เปลี่ยนแปลง 20.29% (ณ เวลา 14.38 น.)

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าอาจเป็นเพราะ VI (หรือ Value Investor คือ การลงทุนซื้อหุ้นจะซื้อเฉพาะหุ้นที่มี Intrinsic Value หรือมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่าราคาตลาดของหุ้นมากพอที่จะทำให้มี  Margin of Safety หรือส่วนเผื่อของความปลอดภัยในการลงทุน และขายหุ้นเมื่อราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง) พิจารณากำไร จากการมองเห็นถึงอนาคตเวทีนางงามอย่าง "มิสแกรนด์" เป็นสตอรี่ ที่เป็นที่จับตามองและได้รับความสนใจของประชาชน รวมถึงการเดินหน้าจัดงานอีเวนท์ ที่สร้างรายได้และกำไรให้เป็นกอบเป็นกำ

แต่ก็อยากให้นักลงทุนไตร่ตรองตกผนึกความคิดให้ดีอีกครั้ง เพราะนี่อาจไม่ใช่ "เกม" ของเรา และหากลงไปเล่นเกมกับเค้า ต้องจำให้ขึ้นใจว่าใครลุกช้า คนนั้นก็ "เจ็บ" ดังนั้น จะมาโอดครวญทีหลังไม่ได้ มองว่าการลงทุนนั้นไม่มีใครผิด หรือ ถูก มันขึ้นอยู่กับผลที่ตามมา เมื่อลงทุนและได้กำไร ก็แสดงว่ามาถูกทาง ในทางกลับกันหากลงทุนไปตามทฤษฎีแต่ยังขาดทุน นั้นก็หมายความว่าเรากำลังหลงทางแล้ว

ทั้งนี้ หากไปลองดูในประวัติศาสตรหุ้นไทยที่ภายใน 1 เดือน ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินกว่า 100% มีมากมายหลายตัว อาจมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จะมีสักกี่ตัวที่มันไปต่อได้ ซึ่งในกรณีของ JKN ก็เคยเป็นในลักษณะเช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน บทสรุปสุดท้ายก็เห็นอยู่ว่าไม่รอด มีเพียงตัวเดียวที่ราคาเพิ่มขึ้นและยังยืนอยู่ได้ในปัจจุบัน คือ DELTA