เปิดไส้ในงบปี 66 "KEX" สภาพคล่องตึงตัวกู้ยืมบริษทแม่ KLN หนุน - หนี้พุ่ง

08 ก.พ. 2567 | 05:52 น.

เปิดงบการเงิน KEX ปี 66 สภาพคล่องตึงตัว บริษัทกู้ยืมบริษัทแม่"เคแอลเอ็น โลจิสติคส์ ฯ" 1.3 พันล้านหนุน เงินสด ณ สิ้นปี 66 เหลือ 736 ล้านบาท ขณะที่ส่วนของของผู้ถือหุ้น"เหลือ 2,653 ล้านบาท ลดลง 59 % เหตุจากหนี้สินเพิ่ม บล.กรุงศรี ฯ แนะ"ถือ" รอรับราคา tender offer ที่ 5.50 บาท

งบปี 2566 ที่ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) หรือ KEX  ประกาศออกมา ต้องถือว่าสาหัสเอาการ โดยขาดทุนสุทธิ 3,880 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นถึง 37.1% จากปี 2565 ที่ขาดทุนสุทธิ 2,830 ล้านบาท  และสูงกว่าที่บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้แต่เดิม ( บล.กรุงศรีฯ คาดไว้ที่ -3,689 ล้านบาท , บล.ทิสโก้ คาดไว้ที่ -3,525 ล้านบาท และ บล.กสิกรไทย คาด - 3,447 ล้านบาท ) โดยเป็นผลจากยอดการจัดส่งพัสดุที่ลดลงถึง 30% ฉุดรายได้จากการขายและบริการของบริษัทปี 2566 ร่วง 32.5% (YoY) เหลือเพียง 11,470.3 ล้านบาท 

 

จากข้อมูลที่ KEX แจ้งตลท. เมื่อส่องงบไส้ใน  บริษัทมีสินทรัพย์รวม ณ สิ้นปี 2566  ลดลง 25.1% (YoY) อยู่ที่  9,055.7 ล้านบาท จากสิ้นปี 2565 ที่ 12,093.2 ล้านบาท ส่วนหนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 14.6% (YoY) อยู่ที่ 6,412.8 ล้านบาท  จากสิ้นปี 2565 ที่ 5,595.5 ล้านบาท ส่งผลให้"ส่วนของผู้ถือหุ้น"ตามงบ ณ สิ้นปี 2566 ลดมาอยู่ที่ 2,653.26 ล้านบาท หรือลดลง 59.2 % ( YoY) จากสิ้นปี 2565 ที่มี 6,499.8 ล้านบาท

 

เปิดไส้ในงบปี 66 \"KEX\" สภาพคล่องตึงตัวกู้ยืมบริษทแม่ KLN หนุน - หนี้พุ่ง

สภาพคล่องตึงตัว-เงินสดลดลง

ส่วนสภาพคล่องบริษัท พบว่าเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นปี 2566 เหลือเพียง 736.3 ล้านบาท ลดลง 66.0% จากสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 2,163.0 ล้านบาท โดยระหว่างปี 2566 บริษัทมีการกู้ยืมเงิน 1,640.7 ล้านบาท มาจาก

  • 1.เงินกู้ยืมระยะสั้นจากบริษัทแม่ คือ เคแอลเอ็น โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท จำนวน 1,300.0 ล้านบาท 
  • 2.เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 340.7 ล้านบาท  

ขณะที่มีหนี้สินตามสัญญาเช่าที่มีกำหนดชำระภายใน 1 ปี จำนวน 1,441.1 ล้านบาท เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่น 1,717.7 ล้านบาท หนี้สินตามสัญญาเช่าอยู่ที่ 775.3 ล้านบาท เจ้ำหนี้บริการเก็บเงินปลายทาง  614.8  ล้านบาท ฯลฯ 

อัตราส่วนสภาพคล่องของบริษัท  ณ สิ้นปี 2566 อยู่ที่  0.41 เท่า จากปี 2565 อยู่ที่ 1 เท่า ( สะท้อนสภาพคล่องเทียบกับความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น : ปกติไม่ควรต่ำกว่า 1 เท่า ) ในขณะที่ อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว อยู่ที่ 0.38 เท่า เทียบ 0.95 เท่าในปี 2565  ฯลฯ 

 

อัตราส่วนการเงินที่สำคัญ  บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) หรือ  KEX

โบรกแนะ "ขาย" ให้มูลค่าเหมาะสม 4.80 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้  ออกบทวิเคราะห์ล่าสุด ( 8 ก.พ.67 ) คงคำแนะนำ “ขาย” รอให้ KEX พิสูจน์สร้างการเติบโตในส่วนลูกค้าที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และการปรับโครงสร้างต้นทุนใหม่จากการสนับสนุนทางการเงิน และการดำเนินงานจาก" SF Group" เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

โดยระบุว่า KEX รายงานผลขาดทุนเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ   โดยขาดทุนสุทธิ 1.16 พันล้านบาทใน  Q4/65 เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จากขาดทุน 932 ล้านบาท และ 890 ล้านบาท รายได้จากการขายและบริการลดลง 38% YoY และ 13% QoQ ทั้งปริมาณพัสดุ (-36% YoY, -9.6% QoQ) และรายได้ต่อพัสดุ (-3.6% YoY, -1.9% QoQ) เนื่องจากรายได้จากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซลดลง ที่แย่กว่านั้นคือ ต้นทุนต่อพัสดุเพิ่มขึ้น 9.3% YoY และ 1.6% QoQ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นหดตัวทั้ง YoY และ QoQ จาก -12.7% และ -23.3% เป็น -28.1%

คาด KEX จะถึงจุดคุ้มทุน EBITภายใน Q4/67F โดยคาดปี 2567 และปี 2568  คาดยังขาดทุนที่ 2,777 ล้านบาท และขาดทุน 1,475 ล้านบาท ตามลำดับ เรามองกลยุทธ์ของบริษัทในแง่ดีในการมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าระดับกลางถึงระดับสูงและลูกค้าอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มรายได้ต่อการฝากขายในขณะที่ดำเนินโครงการลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม ประสิทธิผลของแผนและอัตราการปรับปรุงรายได้ที่เกิดขึ้นจริงยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

คงคำแนะนำ “ขาย” สำหรับ KEX โดยมีมูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 4.80 บาท

บล.กรุงศรีอยุธยา ( 8 ก.พ.67 ) ระบุว่า ผลขาดทุนเต็มปีในปี 2566 ที่ 3.88 พันล้านบาท แย่กว่าผลขาดทุนจากธุรกิจหลักในปี 2565 ที่ 2.44 พันล้านบาทและยังไม่เห็นแนวโน้มการพลิกฟื้นอย่างจริงจังของผลการดำเนินงานของ KEX ในเร็ว ๆนี้ โดยเรามองว่าอุปสงค์บริการของ KEX ยังคงถูกกดดันเพราะผู้ประกอบการ ,e-commerce อย่างเช่น Shopee เริ่มทำการจัดส่งสินค้าเอง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีmargin สูงอย่างเช่น กรุงเทพ และปริมณฑล 

ทั้งนี้ เราคาดว่า KEX จะยังคงมีผลขาดทุนหนักถึง 3.5 พันล้านบาทในปี 2567คงคำแนะนำขายและประเมินราคาเป้าหมายที่ 4.80 บาทพร้อมแนะนำให้นักลงทุนถือ KEX เพื่อรอรับ tender offer ที่ราคา 5.50 บาท โดย SF ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่