ต่างชาติถล่มขายหุ้นไทย คัด 5 หุ้นแกร่งหลบแรงขาย

21 ม.ค. 2567 | 10:00 น.

บล.กสิกรไทย ประเมินต่างชาติเทขายหุ้นไทยคาดลากยาวถึงกลางปีนี้ ชี้เหตุจาก"เศรษฐกิจ - กำไรสุทธิบจ."แนวโน้มอ่อนแอ หุ้นไทยแพงเมื่อเทียบคู่แข่ง แนะกลยุทธ์ลงหุ้นกลุ่มนิคม-การแพทย์ คัด 5 หุ้นแกร่ง หลบแรงขาย BDMS, BCH ,WHA , AMATA, CK

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด ( KS)  เผยแพร่บทวิเคราะห์ถึง สาเหตุที่ต่างชาติยังเทขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ว่า เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าดึงดูดใจเมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มอาเซียน และตั้งแต่ต้นปี 2567 มานักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 1.73 หมื่นล้านบาท ( 1-19 ม.ค.67) หลังมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิที่ 1.92 แสนล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว โดยดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปรับลดลง 15.5% เมื่อปีที่แล้วและเคลื่อนไหวช้ากว่า MSCI ACWI อยู่ 35%  

เหตุผลสำคัญมาจากแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอของประเทศไทยหลังสิ้นสุดสถานการณ์โควิด-19 และมูลค่าที่ไม่น่าดึงดูดใจเมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มอาเซียน Bloomberg consensus คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะรายงานการเติบโตของกำไรสุทธิ (CAGR จากปี 2562-67) ที่ 4.39% เทียบกับคู่แข่งในกลุ่มอาเซียนที่ 10.39% 
 

นอกจากนี้ SET Index ซึ่งขณะนี้ซื้อขายด้วย PER ปี 2567 ที่ 14.35 เท่า ยังค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มอาเซียนซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตระดับเดียวกันหรือสูงกว่า เช่น อินโดนีเซีย (13.68 เท่า), มาเลเซีย (13.37 เท่า), ฟิลิปปินส์ (11.42 เท่า) และเวียดนาม (9.97 เท่า)

การเติบโตที่หายไปเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทย นักลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยที่ 9.75 แสนล้านบาทตั้งแต่ปี 2556 และยังมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิในอีก 8 ปี จาก 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดคาดการณ์ถึงหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน, สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง, การลงทุนที่หายไป, ประชากรสูงวัยและการสูญเสียข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกของสินค้าอุตสาหกรรม 

KS มีความเห็นตรงกันเช่นกันแต่เราเชื่อว่าสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทย มาจากการเติบโตของกำไรสุทธิที่ขาดหายไป Bloomberg consensus คาดว่า market EPS ของประเทศไทยจะอยู่ที่ 88 บาท ในปี 2556 และ 85 บาท ในปี 2566 หรือบ่งชี้ถึงการเติบโตที่คงที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา 

ขณะที่ SET Index เคลื่อนไหวออกด้านข้างอยู่ระหว่าง 1,000-1,800 จุด ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เทียบกับระดับปัจจุบันที่ 1,380 จุด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยและลงทุนในตลาดประเทศอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีกว่าเพื่อจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า เราเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะยังเทขายหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกปีนี้จาก downside ต่อกำไรสุทธิปี 2567 ผลจากสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวลง, การบริโภคที่อ่อนแอ, จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้าและรัฐบาลไม่สามารถออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่คาดหวัง 

คาดครึ่งหลังดีขึ้นต่างชาติเริ่มเข้าซื้อหุ้นไทย

เราคาดว่าแนวโน้มการเติบโตของตลาดในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรกเนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจะผ่านร่างงบประมาณประจำปี 2567 และ Fed pivot จะเริ่มต้นทุนขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยลดลงและเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด เราคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะหยุดทเขายและอาจเริ่มกลับมาสะสมหุ้นไทยเมื่อ market EPS ฟื้นตัวขึ้นซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนในปี 2559 และ 2565 เมื่อ market EPS ฟื้นตัวขึ้นแข็งแกร่ง

แนะนำกลยุทธ์ “เลือกลงทุน” เลือกลงทุนในหุ้น/กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตด้านโครงสร้างและปลอดภัยจากการเทขายจากต่างชาติเนื่องจากเราคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะเทขายหุ้นไทยต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกปีนี้ เราเห็นนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, ผู้รับเหมา, การแพทย์และอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ต้นปี 2556 

อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติกลับมามีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิในกลุ่มท่องเที่ยวและอิเล็กทรอนิกส์ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้าและ profit-taking ในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่เต็มมูลค่าแล้ว

แนะนำให้นักลงทุนมุ่งเน้นไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม/หุ้นที่มีการเติบโตด้านโครงสร้างและหลบแรงขายจากต่างชาติ เช่น กลุ่มการแพทย์, นิคมฯ และ mid-caps หุ้นเด่นของเราในกลุ่มนี้คือ

  • BDMS (ราคาเป้าหมาย 32.60 บาท )
  • BCH (ราคาเป้าหมาย 24.80 บาท )
  • WHA (ราคาเป้าหมาย 5.70 บาท )
  • AMATA (ราคาเป้าหมาย 28.50 บาท )  
  • CK (ราคาเป้าหมาย 28.37 บาท )