"กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน TESG" คลัง-ก.ล.ต. แถลงเปิดตัว 8 ธ.ค.นี้

04 ธ.ค. 2566 | 08:06 น.

5 หน่วยงาน นำโดย คลัง-ก.ล.ต.ร่วมแถลงเปิดตัว "กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน " หรือกองทุน TESG ในวันศุกร์ที่ 8 ธ.ค.2566 คาดดันเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในช่วง 3 สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ราว 1 หมื่นล้านบาท

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดแถลงข่าวความร่วมมือและการสนับสนุนโครงการ "กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน" (Thailand ESG Fund ) หรือ กองทุนรวม TESG ในวันที่ 8 ธันวาคม 2566

โดยมี 5 หน่วยงาน เข้าร่วมแถลงครั้งนี้ ได้แก่ นางกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพากร นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต.  นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ( FETCO) นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเปิดตัวในวันที่ 8 ธันวาคม 2566 จะมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) พร้อมประกาศเปิดขายกองทุน TESG อย่างน้อย 16 บลจ. ทั้งสิ้น 22 กองทุน โดยประเมินว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในกองทุน TESG เพื่อลดหย่อนภาษีในปีภาษี 2566 นี้ ราว 1 หมื่นล้านบาท 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) นั้น เกิดขึ้นหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย เพื่อให้เกิดเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 

กระทรวงการคลัง จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ตามมาตรการภาษีดังกล่าว อันเป็นผลมาจากการประชุมร่วมกันของกระทรวงการคลังกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทยให้มีการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน  และกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมดังกล่าว

โดยกองทุนรวมนี้จะนำเงิน ไปลงทุนในกิจการที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล(Environmental, Social, and Governance หรือ ESG) ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด โดยจะลงทุนในกิจการของไทยเท่านั้น

สำหรับมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยมีรายละเอียด ดังนี้ 

1. ให้ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน   ในอัตราไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับปีภาษี โดยผู้มีเงินได้ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 8 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน แต่ไม่รวมถึงกรณีทุพพลภาพหรือตาย

สำหรับการซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 (วันที่คณะรัฐมนตรี  มีมติอนุมัติหลักการ) ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2575 และต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด 

 2. ยกเว้นให้ผู้มีเงินได้ไม่ต้องนำเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะกรณีที่เงินหรือผลประโยชน์ดังกล่าวคำนวณมาจากค่าซื้อหน่วยลงทุนที่ได้รับสิทธิตามข้อ 1 และผู้มีเงินได้ถือหน่วยลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 8 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน แต่ไม่รวมถึงกรณีทุพพลภาพหรือตาย

“มาตรการภาษีนี้จะช่วยให้การลงทุนระยะยาวในตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้น อันจะทำให้เสถียรภาพของตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้น และจะทำให้ผู้มีเงินได้มีทางเลือกในการออมและการลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งยังจะทำให้การลงทุนในกิจการที่คำนึงถึง ESG เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และกิจการของไทยที่ให้ความสำคัญแก่ ESG เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามไปด้วย”

ทั้งนี้ จะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals หรือ SDGs) ของสหประชาชาติ รวมทั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)

หากมีข้อสงสัย สอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ  หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161