เปิด 4 ปัจจัยหุ้นไทยร่วงหนัก หวังกองทุน ESG พยุงตลาดหุ้น

15 พ.ย. 2566 | 05:25 น.

ฟินโนมีนา เผย 4 ปัจจัยหุ้นไทยร่วงหนักในช่วงที่ผ่านมา ซัดนโยบายรัฐคลุมเครือ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีผู้ให้ข่าวมากเกินไป ส่งผลความเชื่อมั่นนักลงทุน หวังกองทุน ESG ช่วยได้ แต่ต้องกำหนดเงื่อนไข สัดส่วนการลงทุนให้ชัดเจน

หลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2566 ขณะนั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ที่ 1549.01 จุด จากนั้นในวันที่ 21 กันยายน 2566 ร่วงลงมาที่ 1514.26 จุด และร่วงต่ำสุดลงมาที่ 1371.22 จุด ในวันที่ 6 ตุลาคม 2566 ซึ่งครบ 45 วันหลังนายเศรษฐารับตำแหน่งพอดี 

ทั้งนี้ จนถึง ปัจจุบัน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ยังวิ่งไม่เกินระดับ 1400 จุด ไม่มีท่าทีจะฟื้นกลับมาเท่ากับก่อนนายเศรษฐาเข้ารับตำแหน่ง โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มาร์เก็ตแคปติดลบลงไปกว่า 1.13 ล้านล้านบาท ท่ามกลางกระแสว่า รัฐบาลกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)มีข้อขัดแย้งกัน

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ตลท. ได้มีการแถลงข่าวหลังปิดตลาดถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกแถลงติดตามสภาวะตลาดทุนราวมกันกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ส่วนการแถลงครั้งที่ 2 พูดถึงภาวะตลาดหุ้นไทยหลังดัชนีร่วง 30.48 จุด

เปิด 4 ปัจจัยหุ้นไทยร่วงหนัก หวังกองทุน ESG พยุงตลาดหุ้น

ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ต้องกังวลเรื่อง Naked short selling (การขายชอร์ตหุ้น ที่ยังไม่ได้มีการกู้ยืมมาก่อน) เพราะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ผู้บริหาร ก.ล.ต.จะดูแลอย่างเข้มแข็ง แต่ปัจจุบันในโลกการลงทุนมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต.ยืนยันว่าไม่มี Naked Short Selling ขอให้นักลงทุนทุกคนเชื่อมั่น และจะมีการตั้งกองทุน ESG เข้ามาหนุนเม็ดเงินใหม่ในตลาดหุ้นไทย ขนาดกองทุนประมาณแสนล้านบาท จัดตั้งภายในปีนี้

นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ CEO และผู้ก่อตั้ง บลน.ฟินโนมินา (Finnomena) ระบุว่า มี 4 ปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากที่สุดในโลกรองจากตลาดหุ้นของจีน ได้แก่

  • ปัจจัยที่ 1 คือการไม่ฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งถือเป็นพี่ใหญ่ของโลก เมื่อตลาดหุ้นร่วงลงมา ตลาดโลกก็ไม่สดใส และเศรษฐกิจไทยพึ่งพาจีนเป็นหลัก สัดส่วนการค้าขายหดตัว ส่งออกได้รับผลกระทบพอสมควร
  • ปัจจัยที่ 2 คือการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไม่ดีเท่าที่คาด โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยได้ถึง 30 ล้านคนในปีนี้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ สาเหตุหลักก็มาจากการที่เศรษฐกิจจีนซบเซา นักท่องเที่ยวจีนน้อย แม้จะออกมาตรการวีซ่าฟรีนักท่องเที่ยวจีน ก็ไม่ส่งผลดีเท่าที่ควร
  • ปัจจัยที่ 3 ส่งผลมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว คือส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งไทยอยู่ที่ 2.5% แต่สหรัฐฯอยู่ที่ 5.25% ส่งผลให้ผู้ฝากเงินและนักลงทุนถอนเงินบาทไทยไปฝากไว้ที่สหรัฐฯมากขึ้น เพราะมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะไม่ปรับตัวขึ้นแล้ว และยังส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงมากที่สุดในเอเชีย
  • ปัจจัยที่ 4 คือความไม่มั่นในในเศรษฐกิจไทยของนักลงทุนต่างชาติ โดยก่อนหน้านี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ เติบโตเพียง 2.8% ส่วนปีหน้าแม้จะคาดว่าเติบโตได้ 3.4% แต่นักลงทุนต่างชาติ จับตามองนโยบายเศรษฐกิจของไทยที่กำลังดำเนินอยู่ จะสามารถหนุนให้เศรษฐกิจไทยโตได้ตามเป้าหรือไม่?

ด้วยความกังวลนี้ จึงทำให้นักลงทุนต่างชาติมีการดึงเงินออกจากไทย ขายหุ้นออกแล้วกว่า 1.8 แสนล้านบาทในปีนี้ แค่เฉพาะเดือนนี้ (พ.ย. 66) ขายหุ้นออกแล้วกว่า 9,400 ล้านบาท และมีการขายออกแทบทุกวัน 

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้ แม้จะมีการเดินทางไปเยือนหลายประเทศเพื่อดึงดูดการลงทุน แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศไม่ชัดเจน เพราะไม่จำกัดการสื่อสาร มีแหล่งข่าวหลายรายที่ให้ข่าวไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ปรับเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง ดังนั้น รัฐบาลควรปรับการสื่อสารให้ดีกว่านี้ เพราะส่งผลต่อการเชื่อมั่นนักลงทุน

อีกส่วนหนึ่งคือการแถลงข่าวหลังจากตลาดหุ้นร่วงหนัก แต่ไม่มีการแจ้งสาเหตุที่ชัดเจน ไม่มีการจับผิดใครได้ แต่แถลงข่าวเพื่อสร้างความเชื่อมั่น กลายเป็นว่าดูเหมือนตระหนกตกใจ เหมือนมีอะไรปิดบังหรือไม่ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจมากขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม การออก ESG บอนด์ เพื่อพยุ่งตลาดทุนไทยนั้น สามารถทำได้ แต่ต้องเป็นกองทุนที่สามารถซื้อแล้วนำมาลดหย่อนภาษีได้ เพราะจะจูงใจให้เกิดเม็ดเงินการลงทุน แต่ต้องไม่ตั้งวงเงินรวมเดียกวันกับ SSF และ RMF ให้แยกออกมาอีกกองหนึ่ง มิเช่นนั้นไม่มีประโยชน์ 

นอกจากนี้ กองทุน ESG อาจจะลงทุนในหุ้นและบอนด์ด้วย ซึ่งต้องดูว่ามีสัดส่วนอย่างไร ถ้าสัดส่วนของบอนด์เยอะมากกว่า ก็อาจจะไม่ใช่กองทุนที่ออกมาเพื่อพยุงตลาดหุ้น เพราะเงินจะไหลเข้าตลาดบอนด์มากกว่า