ADVANC เซ็นซื้อไฟ "GULF"16.5 MW ผ่านโซลาร์ฟาร์ม-รูฟท็อป ระยะเวลา 15 ปี

22 ก.ย. 2566 | 03:19 น.

ADVANC ไฟเขียวบริษัทย่อย ลงนามซื้อขายไฟฟ้ากับ GULF ยาว 10 - 15 ปี ในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม-รูฟท็อป ) จำนวน 16.5 เมกะวัตต์ มูลค่า 532 ล้านบาท

บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) หรือ ADVANC เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท ได้มีมติอนุมัติให้ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จํากัด (“AWN”) และ บริษัท แฟกซ์ ไลท์ จํากัด (“FXL”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ AIS ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) และ สัญญาจ้างออกแบบวิศวกรรม จัดหา และก่อสร้าง (Engineering, Procurement and Construction: EPC) กับ บริษัท กัลฟ์ จํากัด (“GULF1”) ซึ่งเป็นบริษัท ย่อยที่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) (“GULF”) ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 โดยมีลักษณะเป็นโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งมีกําลังการผลิตติดตั้งรวมโดยประมาณ 16.5 เมกะวัตต์ รวมมูลค่า 531.80 ล้านบาทเป็นระยะเวลา 10 - 25 ปี
 

ทั้งนี้ การทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า PPA ดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 5 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farm) ที่ศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ 2 โครงการ และ 2.โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ที่ศูนย์ AIS ContactCenter และที่ชุมสาย 3 โครงการ เป็นระยะเวลา 10- 15 ปี และโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้บริษัทเมื่อครบกำหนดสัญญา

ส่วนการทำสัญญาจ้างออกแบบวิศวกรรม จัดหา และก่อสร้าง (Engineering, Procurement and Construction: EPC) ประกอบด้วย (1) โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ที่อาคารสื่อสัญญาณหลัก 38 แห่ง และ (2) โครงการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ส าหรับสถานีฐาน 4,500 แห่ง เป็นระยะเวลา 25 ปี

ความร่วมมือทางธุรกิจนี้ สืบเนื่องจากบริษัทประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายและบริการโทรคมนาคม โดยครอบคลุมถึงโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงข่ายสําหรับบริการลูกค้าองค์กร ซึ่งการให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมที่ครอบคลุมทั่วประเทศต้องใช้พลังงานไฟฟ้าปริมาณมาก และปริมาณการใช้พลังงานยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการขยายบริการโครงข่ายและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการเข้าทําสัญญาเพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จะช่วยลดต้นทุนในการดําเนินงานของบริษัทในระยะยาว


 

นอกจากนี้ ความร่วมมือทางธุรกิจนี้ยังเป็นไปตามกลยุทธ์การดําเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ AIS ในการลดการปล่อย เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยยังใช้เชื้อเพลิงจากพลังงานฟอสซิลเป็นหลักซึ่งก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกก๊าซเรือนกระจก

การใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานแสงอาทิตย์ในโครงการดังกล่าว จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 11,268 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO,e) ต่อปี รวมถึงยังสอดคล้องกับเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเป็น ร้อยละ 5 ของการใช้พลังงานรวม เพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อนการดําเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม