นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ บสย. วันที่ 25 มิถุนายน 2568 มีมติจัดสรรวงเงินค้ำประกันเพิ่มเติม ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” อีก 5,000 ล้านบาท ภายใต้มาตรการ บสย. พร้อมค้ำ กับ 2 ผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อใหม่ ทั้งนี้ ประกอบด้วย
วงเงินค้ำประกัน 3,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 500,000 – 10,000,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกลุ่มที่ได้ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และผลิตภัณฑ์ค้ำประกันภายใต้
วงเงินค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ค้ำประกันต่อราย 10,000 – 500,000 บาท ตอบโจทย์กลุ่มรายย่อย (Micro SMEs) พ่อค้า แม่ค้า ค้าขายออนไลน์ อาชีพอิสระ ฯลฯ ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน แต่ขาดคนค้ำประกัน และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเป็น “กลุ่มเปราะบาง” ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
“จุดเด่นของทั้ง 2 โครงการ คือ ค่าธรรมเนียมต่ำเพียง 1.5% ต่อปี ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก ค้ำประกันสูงสุด 7 ปี มุ่งเสริมสภาพคล่อง และลดภาระทางการเงิน ช่วยให้ SMEs เดินหน้าต่อได้อย่างยั่งยืน”
นอกจากนี้ ทั้ง 2 โครงการใหม่ ยังเป็น “มาตรการพิเศษ” ที่มุ่งเน้นการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยกระตุ้นให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อในรายที่ต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติม แต่ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ด้วยการจ่ายเคลม (จ่ายค่าประกันชดเชย) ในอัตราสูง
โดยโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Micro Biz จ่ายเคลมสูงถึง 42% ต่อพอร์ตการค้ำประกัน เมื่อเทียบกับการค้ำประกันปกติที่ระยะเวลา 10 ปี
ขณะที่โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Power Trade & Biz จ่ายเคลมอยู่ที่ 37% ต่อพอร์ตการค้ำประกัน เมื่อเทียบกับการค้ำประกันปกติที่ระยะเวลา 10 ปี ซึ่งถือเป็นการดูดซับความเสี่ยงด้าน Credit Cost เพื่อสนับสนุนให้สถาบันการเงิน มีความเชื่อมั่นในการพิจารณาสินเชื่อเพิ่มให้กับ SMEs รายย่อยมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ จากการเปิดตัว 2 โครงการค้ำประกันสินเชื่อดังกล่าว คาดว่าจะก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบ 5,600 ล้านบาท ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อกว่า 21,000 ราย รักษาการจ้างงาน 46,150 ตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ 20,650 ล้านบาท