KCC เดินหน้าซื้อหนี้พันล้าน ขอผู้ถือหุ้นออกหุ้นกู้ 2 พันล้าน หนุนกำไรโต

08 มี.ค. 2566 | 03:17 น.

“KCC” เล็งขออนุมัติผู้ถือหุ้นออกหุ้นกู้ 2,000 ล้านบาท นำเงินลงทุนซื้อหนี้ NPLsเพิ่มเฉียด 1,000 ล้านบาท หนุนรายได้-กำไร โตต่อเนื่อง

นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ KCC ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายและการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย เปิดเผยในงาน Opportunity Day ถึงแผนการทำธุรกิจปี 2566 ว่า บริษัทมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้มีเป้าหมายจะเข้าลงทุนซื้อหนี้ NPLs เพิ่มอีกประมาณ 900 ล้านบาท และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีพอร์ตหนี้ NPLs รวมจะขยับขึ้นไปทะลุ 1,800 ล้านบาท จากสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 1,332.62 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 135.62% จากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 565.57 ล้านบาท  

“จากการประเมินภาพรวมของอุตสาหกรรม AMC ในปีนี้ คาดว่าปริมาณหนี้ NPLs ที่จะเข้าสู่ระบบจะเพิ่มมากขึ้นหลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ต่อมาตรการช่วยเหลือที่หมดอายุลงแล้วเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2565 และบริษัทซึ่งมีความเชี่ยวชาญมีประสบการณ์มามากกว่า 20 ปี ด้านหนี้คอร์ปอเรท ซึ่งถือว่าเป็นหนี้ที่มีสัดส่วนมากที่สุดของหนี้ NPLs ในระบบ ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัท”  นายทวี กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KCC กล่าวว่า เพื่อเตรียมความพร้อมในด้านเงินทุนรองรับการขยายตัวทางธุรกิจ ในการประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้นวันที่ 20 เมษายน 2566 บริษัทจะขออนุมัติต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นขอออกและจำหน่ายหุ้นกู้วงเงิน 2,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาใช้ขยายธุรกิจ เป็นทุนหมุนเวียนและชำระหนี้คืน ซึ่งระยะเวลาในการออกจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสภาพตลาดในขณะนั้น

นายทวี กล่าวเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่เข้าระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก(IPO) เมื่อพฤษภาคม 2565 และการออกหุ้นกู้ได้เงินรวมกันกว่า 926 ล้านบาท ได้นำมาลงทุนซื้อหนี้ต่อเนื่องปี 2565 ลงทุนซื้อหนี้ NPLs ทั้งสิ้น 930 ล้านบาท ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้รายได้และกำไรเติบโต โดยปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 77.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.35% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 52.42 ล้านบาท และบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานในปี 2565 จำนวน 170.49 ล้านบาท

นายทวี กุลเลิศประเสริฐ

ทั้งนี้รายได้ของบริษัทฯ ส่วนใหญ่มาจาก 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) ที่มีรายได้ 164.22 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 96.33% ของรายได้ทั้งหมด และ2.ธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย (NPAs) ที่มีรายได้ 5.95 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.49%

นายทวี กล่าวว่า บริษัทยังคงรักษาความแข็งแกร่งในการทำธุรกิจโดยเฉพาะความสามารถ                      ในการทำกำไร ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยบริษัทมีกำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ในระดับที่สูงกว่า 80% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 37.79% ซึ่งผลดำเนินงานที่เติบโตขึ้น รวมกับการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai หนุนให้  ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทฯ มีส่วนของเจ้าของเท่ากับ 1,095.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2564 จำนวน 634.41 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 137.73 %

นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอีกหุ้นละ  0.0212 บาท เท่ากับทั้งปีบริษัทจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นทั้งสิ้นหุ้นละ 0.0591 บาท หลังจากเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ได้อนุมัติจ่ายไปแล้วหุ้นละ 0.0379 บาท คิดเป็นเงิน 23.50 ล้านบาทโดยจะกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลวันที่ 27 เมษายน 2566 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 26 เมษายน 2566