"นอนแบงก์"สะเทือน! ออมสินรุกสินเชื่อบุคคลดบ.ต่ำ จุดชนวนแข่งขันราคา

กลุ่มนอนแบงก์ (non-bank ) นอกจากจะต้องเผชิญปัญหาสารพัด ทั้งเรื่องเพดานคุมดอกเบี้ยเช่าซื้อ, ต้นทุนเพิ่มจากดอกเบี้ยขาขึ้น และยังต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคา หลังล่าสุดวานนี้ (10 ต.ค.65 ) นายวิทัย รัตนากร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารออมสิน ระบุว่า ในปี 2566 ธนาคารออมสินมีแผนจะเจาะตลาดที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือ non-bank อย่างเต็มที่ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด 5% หรืออยู่ที่ 20% โดยธนาคารออมสินจะตั้งบริษัทลูกเพื่อเพิ่มการแข่งขันและลดอัตราดอกเบี้ยในตลาด เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงการสนับสนุนของสถาบันการเงิน หรือมีปัญหากับเงินกู้นอกระบบ 

รูปแบบธุรกิจของธนาคารออมสินจะเป็นแพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัล ภายใต้ชื่อ Mymo หรือ มายโม่ (แอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือของ ธนาคารออมสิน) ขณะที่วงเงินสินเชื่อจะอยู่ที่ 10,000-30,000 บาทต่อราย ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 24 เดือน อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วง 1-1.25% ต่อเดือน  โดยจะเน้นฐานลูกค้าเดิม ซึ่งปัจจุบันทั้งสิ้น 13 ล้านคน และคาดจะปล่อยสินเชื่อช่วงแรกได้
 

บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ มีมุมมองลบต่อหุ้น"กลุ่มนอนแบงก์" มองกรณีที่เลวร้ายที่สุด คือผู้เล่นรายใหญ่ร่วมวงแข่งขันด้านราคา โดยระบุว่า แผนของธนาคารออมสินจะเป็นแนวโน้มเชิงลบต่อผู้เล่นกลุ่ม non-bank อย่าง บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล  (MTC) , บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD), บมจ.ศักดิ์สยามลิสซิ่ง (SAK), บมจ.เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล (HENG),  บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) และ บมจ.อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) (AEONTS) ที่ปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลให้กับลูกค้า 

"การแข่งขันจากธนาคารออมสินเพียงเจ้าเดียว อาจจะไม่มีนัยสำคัญแต่อย่างใด แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากมีผู้เล่นรายใหญ่บางรายเริ่มลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่อย่างธนาคารออมสิน เราเชื่อว่าจะทำให้เกิดการแข่งชันด้านราคาอีกครั้ง สำหรับกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคล สถานการณ์อาจคล้ายกับการลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อรถยนต์จำนำทะเบียนรถยนต์ หลังจากที่ธนาคารออมสินได้จัดตั้งธุรกิจร่วมทุน (]V) กับ SAWAD เมื่อปี 2564 และ MTC เป็นผู้เล่นรายแรกที่ลดอัตราดอกเบี้ย" บทวิเคราะห์ ระบุและ 

เชื่อว่า บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) จะมีความเปราะบางน้อยกว่าผู้เล่นรายอื่นต่อปัญหานี้ เนื่องจากยังไม่มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคล ขณะที่คาดว่าผู้ให้บริการสินเชื่อรถบรรทุก เช่น บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง(ASK)  และ บมจ.ราชธานีลิสซิ่ง (THANI)  จะไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว

เร็วสุดกระทบตลาดนอนแบงก์ปี 67

ต้องรอดูผลกระทบที่แท้จริง หากดูจากประวัติของโปรเจกต์ล่าสุดของธนาคารออมสิน อย่างสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และสินเชื่อโฉนดที่ดิน เรามองว่าโครงการดังกล่าวมีผลกระทบต่อตลาดเพียงเล็กน้อย และต้องใช้เวลาในการเพิ่มพอร์ตสินเชื่อ  ดังนั้น เราคาดว่าผลกระทบที่แท้จริงต่อตลาดจะเห็นได้เร็วที่สุดในปี 2567 เนื่องจากเราคาดว่าธนาคารออมสินจะใช้เวลาในการปรับปรุงระบบ และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ในปี 2566 เชื่อว่าข่าวดังกล่วจะไม่ส่งผลกระทบต่อประมาณการสำหรับหุ้นกลุ่ม non-bank  ในปี 2565-66

บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงลบต่อกลุ่มนอนแบงก์ เนื่องจากเราคาดว่าอัตราส่วนหนี้เสีย (NPL) และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สญู (credit cost) จะเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้ การแข่งขันที่สูงขึ้น และ ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ(NIM) ที่แคบลงจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หุ้นเด่นของกลุ่ม คือ TIDLOR และเรายังเพิ่ม THANI เป็นหุ้นเด่นของเราอีกตัวหนึ่ง

ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จํากัด (ASPS) กล่าวว่า กรณีที่ธนาคารออมสินเข้ามาทำธุรกิจนอนแบงก์ ย่อมส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มดังกล่าว เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่และสาขาจำนวนมาก มีต้นทุนที่ต่ำกว่าบริษัทนอนแบงก์ทั่วๆ ไป โดยหากกดดอกเบี้ยน้อยกว่าตลาดลง 5% จะส่งผลกระทบต่อผู้ปล่อยกู้สินเชื่อบุคคลรายใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

" AEONTS และ  KTC" กระทบโดยตรง

โดยหุ้นกลุ่มนอนแบงก์ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากพอร์ตสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีค่อนข้างมาก ได้แก่ AEONTS และ  KTC โดยเฉพาะสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน ส่วนกลุ่มนอนแบงก์ อย่าง SAWAD และ  MTC คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อบุคคล ส่วนใหญ่จะเป็นการปล่อยต่อเนื่องจากสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ซึ่งเป็นสินเชื่อมีหลักประกัน โดยหากลูกค้าต้องการวงเงินเพิ่มนอกเหนือจากสินเชื่อจำนำทะเบียนรถแล้ว ก็สามารถขอเพิ่มเติมอีกจากสินเชื่อบุคคลได้

อย่างไรก็ดียังต้องติดตามนโยบายของธนาคารออมสินอีกครั้ง ว่าจะสามารถงดูดลูกค้าจากกลุ่มนอนแบงก์ได้มากน้อยแค่ไหน

การเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มนอนแบงก์ ปิดตลาดภาคเช้าวันนี้ (11 ต.ค.65 ) ดังนี้

• MTC  ปิดที่  34.00 บาท  เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือบวก 0.74%
• SAWAD ปิดที่ 40.50 บาท  เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือบวก 0.62%
• KTC  ปิดที่ 55.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือบวก 0.91%
• AEONTS ปิดที่ 166 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือบวก 0.30%
• TIDLOR ปิดที่ 24.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือบวก 1.63%
• SAK  ปิดที่ 6.70 บาท  เพิ่มขึ้น 0  บาท  หรือ 0% (ไม่เปลี่ยนแปลง)
• HENG ปิดที่ 2.94 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือบวก 0.68%