ราคาทองคำ-ค่าเงินบาท ความสัมพันธ์ที่บดบังภาพความจริง

28 ธ.ค. 2568 | 06:17 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ธ.ค. 2568 | 06:17 น.

พรายพล คุ้มทรัพย์เปิดความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำ และค่าเงินบาท ชี้ทองคำเปลี่ยนโครงสร้างกระแสเงินทุน กลไกอัตราแลกเปลี่ยนไทยที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไม่ถึง

KEY

POINTS

  • ค่าเงินบาทมีความสัมพันธ์กับราคาทองคำโลกอย่างมาก โดยเมื่อราคาทองสูงขึ้น คนไทยจะขายทองคำเพื่อส่งออก ทำให้เงินตราต่างประเทศไหลเข้าและส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
  • ความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าโดยไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ ซึ่งบดบังภาพความจริงและส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกและการท่องเที่ยว
  • ปรากฏการณ์นี้โดดเด่นเป็นพิเศษในไทยเนื่องจากโครงสร้างตลาดและพฤติกรรมการซื้อขายทองคำของครัวเรือน ทำให้ผู้กำหนดนโยบายต้องพิจารณามาตรการเพื่อจัดการความผันผวนที่ไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

นายพรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการอิสระ และอดีตคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยถึงประเด็นเรื่อง ราคาทองคำและค่าเงินบาท : ความสัมพันธ์ที่บดบังภาพจริง โดยแบ่งเป็นหัวข้อประกอบด้วย

แนวโน้มราคาทองคำโลก (ค.ศ. 2020–2025) และปัจจัยที่ขับเคลื่อน

ในช่วงปี ค.ศ. 2020–2025 ราคาทองคำโลกเผชิญวัฏจักรที่ผันผวนและรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเงินโลก ต้นปี 2020 ราคาทองคำอยู่ที่ราว 1,550 ดอลลาร์ สหรัฐต่อออนซ์ แต่ช่วงปลายปี 2025 ราคาปรับขึ้นเกิน 4,400 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ สามเท่าในเวลาเพียง 5 ปีการพุ่งขึ้นระลอกแรกในปี 2020 เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 การล็อกดาวน์ เศรษฐกิจโลกหยุดชะงัก และการอัดฉีดสภาพคล่องขนาดมหาศาลของธนาคารกลาง ทั่วโลก นักลงทุนแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัย และทองคำซึ่งไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต และไม่ขึ้นกับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง กลายเป็นทางเลือกหลัก อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ใน ระดับต่ำมากและอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ ยิ่งทำให้ทองคำเป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในปี 2021 ราคาทองคำทรงตัวเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและนักลงทุนหันไปลงทุนใน สินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ มากขึ้น อย่างไรก็ตาม แรงกดดันเงินเฟ้อเริ่มก่อตัว และปูทางไปสู่ ความผันผวนระลอกใหม่ ในปี 2022 สงครามรัสเซีย–ยูเครนดันราคาทองคำขึ้นชั่วคราว แต่ก็ถูกลบล้างด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าและราคาทองคำอ่อนตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงปี 2023–2024 เมื่อเงินเฟ้อเริ่มชะลอลง และธนาคาร กลางหลักส่งสัญญาณสิ้นสุดวัฏจักรการคุมเข้มนโยบายการเงิน ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงขึ้น ขณะเดียวกันธนาคารกลางในหลายประเทศ โดยเฉพาะ ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เพิ่มการถือครองทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากเงิน ดอลลาร์ ปัจจัยเหล่านี้มีผลอย่างสำคัญในปี 2025 ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทั้งจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และความต้องการซื้อจากภาคสถาบัน ในปลายปี 2025 ทองคำไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอีกต่อไป แต่กลายเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่กำหนดทิศทางกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ

ราคาทองคำ-ค่าเงินบาท ความสัมพันธ์ที่บดบังภาพความจริง

แนวโน้มค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ (ค.ศ. 2020–2025)และความเชื่อมโยงกับทองคำ

ค่าเงินบาทในช่วงเวลาเดียวกันมีความผันผวนสูงผิดปกติ ต้นปี ค.ศ. 2020 ค่าเงินบาท อ่อนค่ารุนแรงจากการหดตัวของภาคการท่องเที่ยวและนักลงทุนระหว่างประเทศหัน ไปถือเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ในปลายปี2020 ค่าเงินบาทกลับแข็งค่าอย่างรวดเร็ว แม้เศรษฐกิจไทยยังคงอ่อนแอ

การฟื้นตัวดังกล่าวสร้างความประหลาดใจแก่ผู้สังเกตการณ์จำนวนมาก หนึ่งในเหตุผล สำคัญคือ “ทองคำ” เมื่อราคาทองค˚าโลกพุ่งสูง ครัวเรือนไทยและผู้ค้าทองขายทอง ออกสู่ตลาดต่างประเทศ ทำให้เกิดเงินตราต่างประเทศไหลเข้าและถูกขายแปลงกลับเป็นเงินบาท การส่งออกทองคำในช่วงนั้นมีสัดส่วนสูงผิดปกติ ชดเชยรายได้จากการ ท่องเที่ยวที่หายไปได้ระดับหนึ่ง

ในปี 2021–2022 ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าอีกครั้งจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและ การแข็งค่าของดอลลาร์จากการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันราคาทองคำที่อ่อนตัวลงในช่วงนั้นก็ทำให้แรงหนุนต่อค่าเงินบาทน้อยลงไปด้วย

ตั้งแต่กลางปี 2023 ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำและค่าเงินบาทกลับมาเด่นชัดอีกครั้ง ราคาทองคำที่ปรับขึ้นส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ใน ปี 2025 แม้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำและเงินลงทุนจากต่างชาติไม่ไหลเข้ามามาก ค่าเงินบาทกลับแข็งค่าราว 10% แตะระดับแข็งที่สุดในรอบ กว่า 4 ปี

นักวิเคราะห์และผู้กำหนดนโยบายเริ่มเห็นพ้องกันว่าในปี 2025 กระแสเงินที่เกี่ยวข้อง กับการซื้อขายทองคำกลายมาเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของค่าเงินบาทแล้ว

ความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเฉพาะตัวของไทย

แม้ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินจะมีอยู่ในหลายประเทศ แต่ประเทศ ไทยดูจะโดดเด่นเป็นพิเศษงานศึกษาทางสถิติระบุว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 มากกว่า20% ของความผันผวนรายวันของค่าเงินบาทสามารถอธิบายได้ด้วยการเคลื่อนไหวของ ราคาทองคำ ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ

สาเหตุสำคัญอยู่ที่โครงสร้างตลาดทองคำของไทยซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดทองคำรายใหญ่ ของเอเชีย มีร้านทองหลายพันแห่งทั่วประเทศ และทองคำได้รับการยอมรับอย่างมาก ในฐานะทรัพย์สินออมและสภาพคล่อง ครัวเรือนไทยซื้อขายทองคำอย่างรวดเร็วตามการเปลี่ยนแปลงของราคาเมื่อราคาทองคำสูงครัวเรือนมักขายทองให้ร้านค้าทอง และผู้ค้าก็ส่งออกทองคำไปอีกทอดหนึ่ง ส่งผลให้เกิดเงินดอลลาร์ไหลเข้าและถูกแปลงเป็นเงินบาท ค่าเงินบาทจึง สูงขึ้น เมื่อราคาทองคำลดลง การนำเข้าทองเพิ่มขึ้นและเงินบาทอ่อนค่า พฤติกรรมขายเมื่อแพง ซื้อเมื่อถูกนี้อาจช่วยลดความผันผวนของตลาดทองคำ แต่กลับเพิ่ม ความผันผวนให้กับค่าเงิน

ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่แสดงลักษณะนี้ใน ระดับเดียวกัน มาเลเซียและอินโดนีเซียมีการค้าทองคำในสัดส่วนที่เล็กกว่าไทย เวียดนามเป็นผู้นำเข้าทองคำสุทธิ ทำให้ราคาทองที่สูงมักกดดันค่าเงินให้ลดลงมากกว่า

ส่วนจีนและญี่ปุ่นมีระบบควบคุมเงินทุนหรือบริหารค่าเงินอย่างใกล้ชิด ทำให้ทองคำไม่ส่งผลโดยตรงต่ออัตราแลกเปลี่ยน

ค่าเงินบาทแข็งมาจากทองคำ ไม่ใช่จากพื้นฐานเศรษฐกิจ

ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในปี 2025 คือการแยกขาดระหว่างค่าเงินบาทกับสภาพ เศรษฐกิจจริง เศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับต่ำ เงินเฟ้อต่ำ การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นเต็มที่ และเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าไม่มาก

อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทกลับแข็งค่ารวดเร็ว ผู้ส่งออกเผชิญแรงกดดันด้าน ความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ภาคท่องเที่ยวในประเทศไทยก็มีต้นทุนสูงขึ้นเมื่อ เทียบกับประเทศคู่แข่ง ผู้กำหนดนโยบายยอมรับว่าค่าเงินบาทแข็งไม่ได้สะท้อนผลิต ภาพหรือเงินทุนไหลเข้า แต่เกิดจากกลไกการแปลงสกุลเงินที่เชื่อมโยงกับทองคำ

ความแตกต่างนี้มีความสำคัญเพราะค่าเงินที่แข็งจากพื้นฐานเศรษฐกิจมักยั่งยืนกว่า แต่ค่าเงินที่แข็งจากกระแสการค้าทองคำสามารถแปรผันได้อย่างรวดเร็ว และสร้างความ ไม่แน่นอนให้ภาคธุรกิจ

ทางเลือกเชิงนโยบาย : รัฐทำอะไรได้บ้าง

เพื่อตอบโจทย์นี้ผู้กำหนดนโยบายกำลังพิจารณาทางเลือกหลายแนวทาง มาตรการ เฉพาะในตลาดทองคำเป็นแนวทางที่ภาครัฐ “โยนหินถามทาง” มากที่สุด และดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่ตรงจุดที่สุดที่สามารถจัดการกับต้นตอของปัญหา เช่น การจัดเก็บภาษีการซื้อขายทองคำออนไลน์ การเพิ่มข้อกำหนดด้านการรายงาน หรือการจำกัดปริมาณธุรกรรมบนแพลตฟอร์มดิจิทัล 

ข้อดีคือการลดกิจกรรมเก็งกำไรโดยตรง และจำกัดความผันผวนค่าเงินโดยไม่กระทบการลงทุนโดยรวม 

ข้อเสียก็คือ อาจกระทบตลาดทองคำที่ถูกต้องตามกฎหมาย และหากราคาทองโลกยังปรับขึ้นแรง ปริมาณการ ซื้อขายอาจยังสูงแม้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น รวมทั้งอาจทำให้เกิดการค้าทองคำนอกระบบได้

อีกแนวทางหนึ่งคือการแทรกแซงค่าเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถขายเงินบาทและซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อลดแรงแข็งค่าลงได้ 

ข้อดีก็คือ การเห็นผลทันทีใน การช่วยลดความผันผวนของค่าเงิน ช่วงนี้อาจจะเหมาะเพราะเศรษฐกิจต้องการ การเพิ่มปริมาณเงินบาทและการลดอัตราดอกเบี้ยอยู่พอดี 

ราคาทองคำ-ค่าเงินบาท ความสัมพันธ์ที่บดบังภาพความจริง

ข้อเสียคือ การแทรกแซงจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัว (หรือแข็งตัวน้อยลง) ดันราคาทองคำในรูปเงินบาทให้สูงกว่าใน กรณีไม่มีการแทรกแซง และอาจทำให้แรงจูงใจในการเก็งกำไรราคาทองคำไม่ลดลง 

นอกจากนั้น ยังมีความเสี่ยงที่ประเทศคู่ค้า (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ) อาจกล่าวหาว่าไทยปั่นค่าเงิน (currency manipulation) อย่างไม่เป็นธรรม

มีผู้เสนอให้ใช้มาตรการควบคุมเงินทุน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการซื้อขายทองคำระหว่างประเทศ 

ข้อดีคือเป็นแนวทางที่สามารถหยุดแรงเก็งกำไรจากการค้าทองคำได้โดยตรง 

แต่ข้อเสียก็คือ อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน และก่อผลเสียข้างเคียงในตลาด ทองค˚าของไทย

บทสรุป

ระหว่างปี ค.ศ. 2020–2025 ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำโลกกับค่าเงินบาท กลายเป็นความท้าทายเชิงนโยบายของไทย ทองคำได้เปลี่ยนโครงสร้างกระแสเงินทุน และกลไกอัตราแลกเปลี่ยนของไทยในรูปแบบที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดไม่ถึง

กรณีของไทยสะท้อนว่าพฤติกรรมครัวเรือนและโครงสร้างตลาดสามารถถ่ายทอดแรง  กระแทกจากตลาดโลกสู่ค่าเงินได้อย่างรุนแรงและรวดเร็ว ในโลกที่ทองคำยังผันผวน และภูมิรัฐศาสตร์ยังยุ่งเหยิง ค่าเงินบาทจะยังคงได้รับอิทธิพลจากราคาทองคำต่อไป ความท้าทายของไทยคือการป้องกันไม่ให้ความเชื่อมโยงนี้มาบดบังภาพจริงของ เศรษฐกิจ จนกลายเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก