คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 โดยระบุว่าคณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า คณะกรรมการกนง. ประเมินเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ภาวะการเงิน และจุดยืนของภาวะการเงิน โดยคณะกรรมการกนง.มองภาวะเศรษฐกิจไทยแนวโน้มในปี 68 ปี69 ขยายใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เมื่อเดือนมิ.ย.
อย่างไรก็ดี มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐจะมีผลโดยตรงและทางอ้อมไม่ว่าการส่งออกหรือการแข่งขันของสินค้านำเข้ามากขึ้นซึ่งจะซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถของการแข่งขันโดยเฉพาะกับธุรกิจมีความเปราะบางอยู่เดิม(ธุรกิจSMEและกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 3หมื่นบาท)
สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้นแนวโน้มจะเติบโตต่ำกว่าครึ่งปีแรกจากแรงส่งของเศรษฐกิจเริ่มชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลังและทอดยาวไปต้นปีหน้าด้วย เนื่องจากผลมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐที่จะเห็นชัดขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลังโดยมีลักษณะทอดยาวและมีการปรับตัวของภาคธุรกิจ มองไปข้างหน้าจะเริ่มเห็นผลกระทบแต่ไม่มากจากที่คาดไว้ก่อนหน้า เพราะไทยได้รับอัตราภาษีไม่ต่างจากคู่ค้าคู่แข่ง ซึ่งเป็นจุดดี
ทั้งนี้ ธปท.แบ่งการส่งออกเป็น 3กลุ่มคือ กลุ่มที่โดนภาษีนำเข้าสหรัฐ(RT) ซึ่งจะเห็นการชะลดลงในระยะต่อไป รวมถึงารส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียม ยานยนต์และชิ้นส่วนที่โดนภาษีเท่ากันจะเห็นความต้องการปรับลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการยกเว้นภาษีมีการเร่งตัวมาก่อนหน้าส่วนหนึ่งวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ยังคงมีต่อเนื่องและไปต่อได้บ้าง โดยต้องติดตามว่าสหรัฐจะปรับขึ้นภาษีกลุ่มนี้หรือไม่
อย่างไรก็ดี กลุ่มที่ไม่ได้โดนภาษีนำเข้าของสหรัฐจะเห็นจุดเปราะบางเพิ่มสูงขึ้นสำหรับเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ โดยเครื่องชี้ภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มปักหัวลงในช่วงหลัง มาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะการปรับลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวระยะสั้น ซึ่งธปท.จะปรับลดประมาณการนักท่องเที่ยวในครั้งหน้า ส่วนเครื่องยนต์อื่นทรงตัวยังไม่เห็นสัญญาณที่มีการปรับดีขึ้นชัด
ทั้งนี้ มองไปข้างหน้าในส่วนของภาพเศรษฐกิจรายย่อยจะเห็นความเปราะบางเพิ่มมากขึ้น โดยมาจากภาคท่องเที่ยวที่มีการจ้างงานค่อนข้างมาก (มีอาชีพอิสระค่อนข้างมาก)จะกระทบกับรายได้ของคนในวงกว้าง กระทบเอสเอ็มอีและกระทบการบริโภคภาคเอกชนต่อไป
“เราเจอปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามรถในการแข่งขัน ในแง่การผลิตใกล้เคียงศูนย์แถมต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าด้วย โดยจะเห็นการเติบโตมาจากกลุ่มขนาดใหญ่มากขึ้น สำหรับภาคบริการนั้นไส้ในเดิมเป็นกลุ่มเอสเอ็มอีแต่ตอนนี้น้อยลง
ดังนั้นจะเห็นกลุ่มเอสเอ็มอีทั้งภาคบริการและการผลิต ธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs เผชิญความท้าทายในการปรับตัวท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งภาคบริการและการผลิต 99.6% ของจำนวนธุรกิจ หรือ 91% ของแรงงาน จึงกระทบในวงกว้างและจะส่งผลต่อการบริโภคของภาคเอกชนในระยะต่อไปด้วย”
ในแง่เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ โดยรวมจะเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงจากประมาณการครั้งก่อน หลักๆมาจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลงจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางคลี่คลายบ้างและราคาอาหารสดจากอากาศดีกว่าคาดทำให้ราคาพืชผลต่ำ
ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วงประมาณการจะต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% และยังไม่พบการปรับลดลงของราคาสินค้าและบริการในวงกว้าง ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานค่อนข้างคงที่ยังใกล้เคียงที่ประเมินไว้ที่ 1.0% อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำมีส่วนช่วยบรรเทาไม่ให้ค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนของธุรกิจสูงไปกว่าปัจจุบัน
สำหรับภาวะการเงินนั้น สินเชื่อเป็นไฮไลต์ที่กรรมการคุยกันในรอบนี้ โดยรวมสินเชื่อชะลอตัวลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้ที่สูงขึ้นและการชำระคืนหนี้ของธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งความต้องการใช้สินเชื่อหรือการลงทุนน้อยลง ส่วนคุณภาพสินเชื่อด้อยลงในกลุ่มเอสเอ็มอีและรายย่อยที่มีรายได้น้อยต่ำกว่า 30,000บาท
โดยกลุ่มเอสเอ็มอีสินเชื่อจะหดตัวมากกว่ากลุ่มอื่น (และหดตัวในหลายไตรมาส) สอดคล้องกับต้นทุนความเสี่ยงของเอสเอ็มอีที่ทยอยสูงขึ้นในระยะข้างหน้า ส่วนภาคครัวเรือนนั้นโดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยยังเห็นเอ็นพีแอลค่อยๆปรับตัวเพิ่มต่อแม้จะไม่รุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัย ดังนั้นสินเชื่อยังชะลอตัวทั้งในกลุ่มเอสเอ็มอีและสินเชื่อที่อยู่อาศัย
นายสักกะภพอธิบายเพิ่มเติมว่า ภาพรวมสินเชื่อนั้น เห็นการชะลอตัว เพราะช่วงโควิดมีมาตรการเร่งช่วยเหลือประคอง ทำให้หนี้ภาคเอกชนโดยรวมยังขยายตัวแม้เศรษฐกิจหดตัวสูง ยอดคงค้างสินเชื่อชะลอลงจากการเร่งชำระคืนหนี้เป็นสำคัญ (เพราะอยู่ในช่วง Deleverage) โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่มีการคืนหนี้และความต้องการสินเชื่อลดลง แต่ในทางกลับกันกับธุรกิจขนาดเล็กที่ยังมีความต้องการสินเชื่อแต่ธนาคารยังระมัดระวัง ทำให้ภาพสินเชื่อปล่อยใหม่โดยรวมยังทรงตัว
นอกจากนี้ในแง่การใช้วงเงินปรับลดลง ขณะวงเงินสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ค่อนข้างคงที่ คือไม่ได้ปรับลดลง ซึ่งแตกต่างกับSMEที่ได้รับวงเงินลดลง แต่การใช้ไม่ได้ปรับลดลง สะท้อนการเข้าถึงสินเชื่อของเอสเอ็มอีมีความยากลำบากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่
ขณะที่สถาบันการเงินปรับลดวงเงินการให้สินเชื่อSME หรือ SMEที่เป็นกลุ่มที่ธนาคารมองเป็นกลุ่มเสี่ยง ส่วนรายย่อยเห็นการปรับมาตรฐานเข้มขึ้นในกลุ่มความเสี่ยงสูง(รายได้น้อย) เช่น เพิ่มรายได้ขั้นต่ำในการขอสินเชื่อหรือเพิ่มดาวน์
เพราะฉะนั้นในครั้งนี้คณะกรรมการเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าสามารถที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมได้บ้างเพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง
ขณะเดียวกันคณะกรรมการฯยังให้ความสำคัญกับการดูแลศักยภาพของเศรษฐกิจการเงินในระยะปานกลาง รวมถึงขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีอยู่จำกัด (Policy Space)เป็นประเด็นที่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง