ตลาดประเมินทิศทางการลงทุนครึ่งหลังปี 2568 แนวโน้มหาผลตอบแทนยากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของสินทรัพย์ทุกประเภท ซึ่งเป็นผลพวงจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มีความแน่นอน ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังเป็นประเด็นต้องติดตามต่อเนื่อง
อีกทั้งตลาดปรับลดโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ หลังยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานออกมาดีกว่าคาด
ขณะที่แนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยทั้งระยะสั้นและระยะยาวปรับลดลงจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยที่ตลาดคาดว่าอยู่ในช่วงขาลง ตามแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในแง่ผู้มีเงินออมที่รับความเสี่ยงได้น้อย อาจจะใช้เงินฝากคงที่เช่น เงินฝากประจำ 24 เดือนหรือ 36 เดือน ธนาคารพาณิชย์น่าจะจ่ายอัตราดอกเบี้ยเกินกว่า 1% ต้นๆ ซึ่งคุ้มกว่า การเก็บเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่จ่ายดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี
สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้เพิ่ม ก็เลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล สมมติดอกเบี้ยนโยบายจะลดลง 2 ครั้งตามตลาดคาดก็ยังมีโอกาสได้กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) หรือสามารถโยกไปลงทุนในตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะกลางเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
“วันนี้การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น เป็นทางเลือกน่าสนใจ เพราะความเสี่ยงในระยะข้างหน้ายังมีอีกมากที่จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว และดอกเบี้ยนโยบายยังมีโอกาสปรับลดลงได้ โดยทั้ง 2 ปัจจัยนี้ จะส่งผลให้ Bond yield ปรับลดลง ซึ่งคนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ก็จะได้รับผลตอบแทนเป็น Capital Gainไปด้วยจากการที่บอนยีลด์ลดลง”
ส่วนบอนด์ยีลด์ระยะสั้น 2-3 ปี ลดลงมาประมาณหนึ่งแล้ว เช่น พันธบัตร อายุ 2 ปี ตอนนี้ผลตอบแทนอยู่ที่ 1.29% ค่อนข้างจะสะท้อนการลดดอกเบี้ยในปีนี้ที่เรามองว่า ดอกเบี้ยนโยบายจะลดอีก 2ครั้งไปแล้ว ซึ่งต้องไปลุ้นปีหน้าจะลดลงต่อได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม หากถือพันธบัตรระยะยาวก็มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมูดี้ส์ เรทติ้งส์ให้แนวโน้มเครดิตประเทศไทย (Outlook) เป็นเชิงลบ “Negative” หากเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่ประมาณ 64% บนสมมติฐาน ไทยขาดดุลงบประมาณปีละ 8แสนล้านบาทต่อไปอีก 2-3 ปี สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะเต็มเพดาน ซึ่งถ้ามีสัญญาณชัด จะทำให้ตลาดกังวลว่า ไทยมีโอกาสจะถูกปรับลดเครดิตเรตตั้ง (Downgrade)
“ถ้าเราถูก Downgrade จากมูดี้ส์ อาจจะมีแรงเทขายพันธบัตรจากนักลงทุนต่างชาติแน่นอน และจะทำให้บอนด์ยีลด์ขยับสูงขึ้น ซึ่งผู้ที่ลงทุนอยู่อาจได้รับผลกระทบ ทำให้กำไรน้อยลง/ขาดทุน ดังนั้นคนลงทุนในพันธบัตรต้องมอนิเตอร์สัญญาณที่ไทยจะถูก Downgrade ในระยะถัดไปและต้องพิจารณาความเสี่ยงกรณีลงทุนระยะยาว”
นายอิทธิธร อิศรเสนา ณ อยุธยา Head of Chief Investment Office ธนาคารกรุงไทยกล่าวว่า ไตรมาส 3 แนวโน้มระยะสั้นตลาดหุ้นอาจจะผันผวนได้ และปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตามคือ ผลกระทบเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและผลประกอบการของบริษัทจากอัตราภาษีที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับต้นปีที่ผ่านมา
กรุงไทย CIO มองเบื้องต้นว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และเฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้หรือไม่ รวมทั้งตลาดแรงงานสหรัฐที่เริ่มชะลอตัวลงมา
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการลงทุนตลาดหุ้นยังมีโอกาสอัพไซซ์ ทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่น จีนและเกาหลีใต้ โดยปัจจัยหนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นจากที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีความชัดเจนว่า แม้จะอยู่ในวัฎจักรของการขึ้นดอกเบี้ย แต่ BOJ จะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย ทำให้เงินเยนไม่ได้มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าเร็วเกินไป
ถัดมาตลาดหุ้นจีนที่ตอบรับเชิงบวกจากการเปิดตัว AI ของบริษัทสัญชาติจีน (DeepSeek) ซึ่งนำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพหรือออกผลิตภัณฑ์ใหม่ จะเป็นอีกแหล่งรายได้ของบริษัทจีน
ประกอบกับ ตลาดกำลังจับตารัฐบาลจีนที่กำลังออกมาตรการจัดการการแข่งขันที่รุนแรงไร้ประสิทธิภาพ (anti-Involution) ซึ่งเป็นผลพวงจากรัฐบาลจีน เห็นปัญหาบริษัทในจีนที่มีกำลังผลิตที่ล้นและแข่งขันลดราคา ซึ่งไม่ส่งผลดีระยะยาวทั้งต่อกำไรของบริษัท และเศรษฐกิจจีนโดยรวมและมีผลต่อภาวะเงินฝืดด้วย
ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ จะได้รับอานิสงก์จากการเพิ่มงบประมาณลงทุนด้าน AI อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการลงทุน AI ส่งผลต่อความต้องการชิปหน่วยความจำหรือ Memory Chips ซึ่ง 2บริษัทใหญ่ของเกาหลีใต้ ทั้ง Samsung และ SK Hynix ที่ผลิต Memory Chips และครองส่วนแบ่งตลาดของ Memory Chips ทั่วโลกถึง 70% ทำให้ราคาหุ้นบริษัทเหล่านี้ มีแนวโน้มเติบโตขึ้น
ขณะที่หุ้นไทย การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย ยังขาดปัจจัยหนุนให้ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน เห็นได้จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความเปราะบาง แถมเจออัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ จึงมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก แต่หนึ่งตัวช่วยให้ตลาดหุ้นไทยสามารถฟื้นตัวต่อไปได้คือ ต้องดูผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดำเนินโยบายการเงินผ่อนคลายแค่ไหน
หากผู้ว่าธปท.ดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นก็จะเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นขึ้นแต่หากตราบใดที่กำไรยังไม่มา การฟื้นตัวของหุ้นไทยเป็นแค่การฟื้นตัวระยะสั้นและไม่กลับมาเป็น “ขาขึ้น”จนกว่าจะเห็นกำไรฟื้นตัวตาม
ส่วนตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังเป็นโอกาสที่จะลงทุน มองไปข้างหน้าเฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยปลายปีนี้ ตอนนี้อัตราผลตอบแทนตั้งต้นค่อนข้างสูง จึงเป็นจังหวะลงทุนตราสารหนี้เป็นการล็อคผลตอบแทนก่อนที่จะปรับตัวลง น่าลงทุนตราสารหนี้/พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เพราะตอนนี้บอนด์ยีลด์ยังสูง หากเฟดจะลดดอกเบี้ยปลายปี
สำหรับทองคำ ยังไม่แนะนำให้ลงทุน เพราะ ในระยะสั้นมีโอกาสจะถูกขายทำกำไรออกมาและปรับราคาลง ทั้งจากความไม่แน่นอนสงครามการค้า ประกอบกับราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นมาแรงในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยจึงลดน้อยลง
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,120 วันที่ 7 - 9 สิงหาคม พ.ศ. 2568