ดร.นิเวศน์ มองหุ้นไทยมีโอกาสดีดตัวแรงต้นปีหน้า จากการเมืองเลือกตั้งใหญ่

18 ก.ค. 2565 | 01:23 น.

"ดร.นิเวศน์"มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทย ยังทรงตัวต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า แต่ชี้มีโอกาสที่ดัชนี SET ดีดตัวขึ้นแรงได้ หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง "เลือกตั้งใหญ่"ในต้นปีหน้า

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (VI) มองสถานการณ์ "เงินเฟ้อสูง- ดอกเบี้ยเพิ่ม- เศรษฐกิจซบ และหุ้นฝืด"ที่เกิดขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจะอยู่ลักษณะนี้อีกนานพอสมควร  

 

โดยยกตัวอย่าง เรื่องของเงินเฟ้อที่มาจากเรื่องของสงครามที่มักจะไม่จบลงง่าย เช่นเดียวกับเรื่องของดอกเบี้ยที่มักจะล้อไปกับเงินเฟ้อ  ซึ่งเป็นเรื่องของการที่ถูกกดลงมามากและนานเกินไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ในด้านของเศรษฐกิจเองก็เป็นผลที่มักจะหลีกเลี่ยงได้ยากที่จะต้องเติบโตลดลง หรืออาจจะติดลบในยามที่ภาวะทางด้านการเงินไม่เป็นใจ  

 

"โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  สภาพคล่องทางการเงินทั้งในด้านของรัฐหรือของบุคคลธรรมดาที่จะต้องลดลง ส่วนหนึ่งเนื่องจากการก่อหนี้มหาศาลในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19"
 

คลิกอ่านเพิ่ม  :  เงินเฟ้อ-เศรษฐกิจฟุบ-หุ้นฝืด

ส่วนสุดท้ายคือ “หุ้นฝืด” หรือก็คือหุ้นตกลงมาอย่างหนักและทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนส่วนบุคคลที่เน้นการเล่นหุ้นเก็งกำไรขาดทุนอย่างหนักจนเลิกเล่นหุ้น  ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นซบเซาลงอย่างหนัก โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันลดลงมามากและลดลงอย่างต่อเนื่อง  และนักลงทุนส่วนบุคคลมีสัดส่วนการซื้อขายลดลงจนเหลือแค่ประมาณ 30% ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลายเป็นประมาณ 50%  และปริมาณการซื้อขายต่อวันลดเหลือระดับประมาณแค่ 5-60,000 ล้านบาท เทียบกับระดับเกือบแสนล้านบาทในช่วงเก็งกำไรร้อนแรง 1-2 ปีก่อนหน้านี้

 

ดร.นิเวศน์ มองอนาคตดัชนีตลาดหุ้นว่า อย่างน้อยประมาณ 6 เดือนข้างหน้านี้ว่า  ตลาดหุ้นระดับโลกอย่าง"ตลาดหุ้นอเมริกา"โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นน่าจะยาก  เหตุผลนอกจากปัจจัยดังที่กล่าวแล้วก็คือ  ดัชนีตลาดหุ้นของอเมริกาในระยะยาวตั้งแต่ปี 2552หลังวิกฤติซับไพร์มจนถึงสิ้นปี 2564 เป็นเวลาประมาณ 13 ปี  ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์  

 

ดังนั้น  ตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ตลาดหุ้นตกลงมาเฉลี่ยถึง 20% ภายใน 6 เดือนจึงเป็น “ขาลงระยะยาว” ที่อาจจะต่อเนื่องไปอีกหลายปีที่ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ไม่น่าประทับใจเพื่อที่จะทำให้ “ผลตอบแทนระยะยาวมากของตลาดหุ้นอเมริกา” ไม่สูงเกินความเป็นจริงที่ประมาณไม่เกิน 10% ต่อปีแบบทบต้น  พูดง่าย ๆ  หุ้นอเมริกาต่อไปนี้คงไม่ดีนัก  ถ้าไม่ตกหนักลงไปอีกจนเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติที่เกิดขึ้นแล้ว


.
 

.

คาดหุ้นไทย"ทรงตัว"ถึงต้นปี 66

 

ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้น  ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา  ดัชนีตลาดหุ้นเป็น Sideway หรือปรับตัวขึ้นลงไม่มากมาตลอด  ดัชนีวันนี้เท่า ๆ กับดัชนีในเดือนมีนาคม 2556 ที่ประมาณ 1,561 จุด และคิดว่าดัชนีหุ้นไทยก็อาจจะทรงตัวหรือ Sideway ต่อไป โดยที่โอกาสที่จะตกลงมาหนักก็อาจจะไม่มาก

 

"ความเชื่อของผมคือ หุ้นไทยก็คงจะทรงๆ ไปจนถึงต้นปีหน้าหรือครบ 10 ปีที่นักลงทุนแทบจะไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน เป็น  “Lost Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” ของตลาดหุ้น "

 

อย่างไรก็ดี นักลงทุนวีไอท่านนี้กล่าวว่า แม้หุ้นไทยจะยังให้ผลตอบแทนไม่ดีนัก แต่สำหรับเขาก็จะยังคงถือหุ้นไทยต่อไปด้วยความเชื่อที่ว่า  ถ้าเราถือหุ้นดีเป็นหุ้น Value เราก็น่าจะได้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดอยู่บ้าง ซึ่งก็น่าจะดีกว่าผลตอบแทนจากทรัพย์สินอย่างอื่นทั้งหมดในประเทศไทย  เช่นอสังหาฯ หรือหุ้นกู้และพันธบัตร  

 

นอกจากนั้นยังมองว่า  ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังมีโอกาสดีดตัวขึ้นแรงได้  ถ้าประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในหลาย ๆ ด้านหลังจากที่เศรษฐกิจชะลอตัวมานานติดต่อกันหลาย ๆ ปี และดูเหมือนว่ากำลังจะ “ติดกับ”อยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางหรือ  “Middle Income Trap”  

 

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น ก็คือจะต้องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ค่อนข้างจะ “ล้าหลัง” เมื่อเทียบกับประเทศในระดับการพัฒนาเดียวกัน  และนั่นทำให้ผมคิดว่า  ภายในต้นปีหน้าที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่  จะเป็นวันที่มีความสำคัญมากต่ออนาคตของประเทศไทยและตลาดหุ้น