เศรษฐกิจไทยฟื้น หนุนทรัพย์หลุดจำนำลดเหลือ 4.5%

 “ธุรกิจโรงจำนำ” หนึ่งในดัชนีสะท้อนเศรษฐกิจไทย โดยจะเห็นว่า เงินให้กู้ยืมภาครัวเรือนผ่านโรงรับจำนำเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19  จากยอดล่าสุดไตรมาส 4 ปี 2564 ที่มียอดคงค้าง 75,825 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 28,338 ล้านบาทจากไตรมาส 4 ปี 2562 ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 แต่เพิ่มขึ้นทันที 30,362 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2563 หรือเพิ่มขึ้นถึง 64%

นายสิทธิวิชญ์ ตั้งธนเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงรับจำนำ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “easy money” และในฐานะนายกสมาคมโรงรับจำนำเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ ธุรกิจโรงรับจำนำกลับมากระเตื้อง เห็นได้จากปริมาณการรับจำนำเติบโต 30% จากปีก่อน สะท้อนปัจจัยบวกปีนี้ เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น

“ถ้าไม่มีประเด็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 เชื่อว่า จำนวนนักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยเพิ่มเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลต่อผู้ประกอบการด้านโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว เริ่มมีความจำเป็นต้องใช้วงเงินหมุนเวียนในธุรกิจและนำทรัพย์สินมาจำนำ เรียกว่า ทั้งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและประชาชนรายย่อยทั่วไป” นายสิทธิวิชย์กล่าว

สำหรับวงเงินรับจำนำผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเฉลี่ยอยู่ที่ 100,000 บาท/ราย ส่วนประชาชนทั่วไปเฉลี่ย 20,000 บาทต่อราย ขณะที่ส่วนใหญ่เป็นการจำนำทองคำและเพชร รองลงมาเป็นสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา PATEX, ROLEX หรือประเภทกระเป๋า Louis Vuitton, GUCCI, Coach, Chanel, Hermes

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่า ลูกค้าโดยรวมมีความระมัดระวังในการนำทรัพย์สินมาจำนำมากขึ้น เพราะไม่ต้องการก่อหนี้ เห็นได้จากช่วงสงกรานต์ ลูกค้าบางรายนำทรัพย์มาจำนำ ซึ่งมีมูลค่าหลายแสนบาท บางรายมูลค่าทรัพย์สูงถึง 14 ล้านบาท แต่ต้องการวงเงินเพียง 1,000 บาท โดยจ่ายดอกเบี้ย 20 บาทต่อเดือน ทำให้เข้าใจได้ว่า ลูกค้าต้องการเพียงให้โรงรับจำนำรับฝากทรัพย์ เพราะสังเกตุจากพฤติกรรมลูกค้าส่วนใหญ่มาไถ่ถอนทรัพย์ออกไป หลังกลับจากเทศกาลสงกรานต์ แม้ตั๋วสัญญาจะมีเวลา 5 เดือนก็ตาม

ทั้งนี้ จากที่สัมผัสกับลูกค้าช่วงนี้ จะมีทั้งที่ต้องการสภาพคล่องหมุนเวียนทำธุรกิจ เช่น ฤดูเก็บเกี่ยวทุเรียน ก็มีลูกค้านำทองคำมาจำนำ เพราะต้องใช้วงเงินค่อนข้างสูงและอย่างเร่งด่วนในการเหมาซื้อทุเรียนไปขายต่อ (ล้ง) แม้กระทั่งลูกค้า ที่เป็นนักลงทุนนำ ROLEX หรือเพชรมาจำนำ เพื่อนำเงินไปลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและบิทคอยน์

ส่วนลูกค้าบุคคลทั่วไปช่วงเปิดเทอม ก็มีเข้ามาใช้บริการหนาแน่น ซึ่งบริษัทจัดแคมเปญดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% ต่อเดือน สำหรับลูกค้ารายใหม่ระยะเวลาจำนำ 4 เดือนบวกอีก 30 วัน เมื่อพ้นเวลาดังกล่าว ลูกค้าส่งดอกเบี้ยผ่านแอปได้อีก 10 เดือนระหว่างนี้ หากลูกค้าต้องการใช้เงินเพิ่มและมูลค่าทรัพย์ยังใช้ไม่เต็มวงเงิน ก็สามารถขอเพิ่มวงเงินได้

“ลูกค้าที่ต้องการสภาพคล่องหรือ มีความจำเป็นต้องใช้เงินเพิ่ม สามารถขอเพิ่มวงเงินผ่านช่องทางแอปพลิเคชั่น easy Smart พร้อม ทั้งเปิดบริการประเมินราคาออนไลน์ผ่านเว็บไซต์อีซีมันนี่ได้ โดยไม่ต้องเดินทางมายังสาขา เพราะเราคำนึงถึงความปลอดภัย เรื่องสุขภาพของลูกค้าและลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้นกว่า 2 ปีที่ผ่านมา มีลูกค้าใช้บริการผ่านเว็บไซต์เพิ่มอย่างต่อเนื่อง”

นายสิทธิวิชญ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันแม้ตลาดจะกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพเพิ่มขึ้น แต่จากสภาวะของราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นทำให้สัดส่วนทรัพย์หลุดจำนำลดน้อยลงเหลือ 4.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 5.2% แต่หากแยกปัจจัยราคาทองคำออกไปพบว่า ทรัพย์หลุดจำนำเคยเพิ่มขึ้นถึง 7% ในช่วงโควิด-19 ระบาดรุนแรง

ขณะที่ทรัพย์สินหลุดจำนำ จะมีช่องทางจำหน่ายผ่านแอป easy outlet และหน้าร้านอีก 2 แห่ง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั้งรายเก่าและรายใหม่ ทำให้ราคาขายทรัพย์หลุดจำนำไม่เสียราคา ที่สำคัญบริษัทได้รับมาตรฐาน ISO เรื่องคุณภาพทรัพย์และบริการ จึงเป็นที่วางใจของลูกค้า โดยปีนี้มีแผนจะเปิดสาขาอีก 10-20 สาขาจากปัจจุบันมี 65 สาขา

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอยู่ระหว่างร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) โรงรับจำนำ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะกฎหมายโรงรับจำนำประกาศบังคับใช้มานานแล้ว โดยอยู่ระหว่างพิจารณาใน 2 เรื่องคือ แก้ไขราคาทรัพย์ โดยราคาจำนำได้เสนอปรับเป็น 1 ล้านบาทต่อ 1 ตั๋ว (ใบ) จากปัจจุบันกำหนดต่อตั๋วจำนำ 1 ใบ ในราคา 1แสนบาทเท่านั้นและระยะเวลาเปิดปิดตั้งแต่ 8.00-20.00 น. จากปัจจุบัน 8.00-17.00 น.

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,784 วันที่ 19 - 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2565