"กสิกรไทย"คาดกำไรรวมของตลาดQ1โต 4% คัด16 หุ้นโตโดดเด่น

28 เม.ย. 2565 | 04:32 น.

บล.กสิกรไทย คาดกำไรรวมของตลาด Q1/65 เติบโต 5% QoQ และโต 4% YoY แรงหนุนจากกลุ่มแบงก์ พลังงาน พาณิชย์ การแพทย์ ฯลฯ ชี้ 5 ปัจจัยหนุนและฉุด Q2/65 นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น หลังไทยยกเลิก Test&Go มีผล 1 พ.ค. ราคาสินค้า-พลังงานปรับขึ้น บาทอ่อนค่า ศก.โลกชะลอ

บริษัทหลักทรัพย์(บล) กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ คาดกำไรสุทธิรวมของตลาดในไตรมาส 1/2565 จะเติบโตขึ้น 5% QoQ และ 4%YoY ปัจจัยหนุนหลักคาดจะมาจากกลุ่มธนาคาร พลังงาน พาณิชย์ การแพทย์ ท่องเที่ยวและ อิล็กทรอนิกส์

 

โดยกำไรสุทธิไตรมาส 1/2565 ของกลุ่มธนาคารขยายตัวขึ้น 26% QoQ และ 16% YoY แรงหนุนจากการตั้งสำรองที่ลดลง (-23% QoQ และ -15% YoY) เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น 

 

และคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/2565 ของกลุ่มพลังงานจะเติบโตขึ้น 37% QoQ และ 20% YoY จากราคาพลังงานที่สูงขึ้น GRM ของโรงกลั่นที่ดีขึ้นและกำไรจากคลังสินค้า ขณะที่กำไรสุทธิของกลุ่มพาณิชย์ โตแข็งแกร่งในไตรมาส 1/2565 (+34% YoY) แรงหนุนจาก SSSG ที่ +9% จากจำนวนลูกค้าที่มากขึ้น ราคาที่สูงขึ้นและการผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทาง

 

ส่วนกลุ่มการแพทย์ คาดจะรายงานกำไรสุทธิที่ขยายตัวขึ้นแข็งแกร่งต่อเนื่องที่ 286% YoY ในไตรมาส 1/2565 จากการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนอย่างต่อเนื่องและจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่มากขึ้น 

 

"กสิกรไทย"คาดกำไรรวมของตลาดQ1โต 4% คัด16 หุ้นโตโดดเด่น

นอกจากนี้ยังคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/2565 ของกลุ่มท่องเที่ยวจะขยายตัวขึ้น 67% YoY หนุนจากการเปิดประเทศและมาตรการกระตุุ้นการใช้จ่ายอย่าง “เราเที่ยวด้วยกัน” ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 1/2565 ของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คาดจะเติบโตขึ้น 30% QoQ และ 59% YoY จากอุปสงค์ที่อั้นไว้ ราคาที่สูงขึ้นและเงินบาทที่อ่อนค่าลง 

 

อย่างไรก็ดีปัจจัยฉุดในไตรมาส 1/2565 มาจากกลุ่มเกษตรและอาหาร วัสดุก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์ สินค้าส่วนบุคคล ปิโตรเคมี และสาธารณูปโภค บริษัทส่วนใหญ่ในทุกกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่ม anti-commodities ซึ่งคาดจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น

 

ส่วนปัจจัยหนุนและฉุดในไตรมาส 2/2565  จะมาจาก

 

  • 1.การยกเลิกมาตรการ Test&Go ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. เป็นต้นไปจะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น นักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าจะเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยยสำคัญจาก 444,036 รายในไตรมาส 1/2565
  • ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นจากสงครามรัสเซีย -ยูเครน คาดจะกระตุ้นต้นทุนการผลิต/ขนส่งของแต่ละบริษัทให้สูงขึ้น อย่างไรก็ดีเราเห็นหลายบริษัทที่มีอำนาจในการกำหนดราคาที่สูงสามารถปรับเพิ่มราคาขาย เพื่อบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น
  • เงินบาททอ่อนค่าลง คาดจะส่งผลบวกต่อผู้ส่งออกและช่วยป้องกัน downside risk ต่ออัตรากำไร ราคาอาหารและพลังงานที่สูงขึ้น (50% ของ CPI) และเงินช่วยเหลือราคาน้ำมัน
  • เงินช่วยเหลือราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลงจากรัฐบาล (เพิ่มขึ้น 16% เป็น 35 บาท/ลิตร) คาดจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและทำให้การบริโภคลดลง 
  • สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวลง การระบาดของโควิด-19 ในจีน และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น คาดจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อรายได้และการส่งออกของผู้เล่นกลุ่ม global play ในไตรมาส 2/2565 ซึ่ง ส่งผลให้มีการปรับลดประมาณการ GDP ปี 2565 ก่อนหน้านี้ 

 

ดังนั้น นักลงทุนจึงควรตรวจสอบแนวโน้มไตรมาส 2/2565 และการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี  หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2565 อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ตลาดคาดว่า market EPS ปี 2565 จะเติบโตขึ้น 13% YoY มาอยู่ที่ 97 บาท

 

สำหรับหุ้นที่มีทิศทางทางการเติบโตไตรมาส 2/2565 ดีขึ้นต่อคาดจะเคลื่อนไหวดีกว่าตลาด เราคาดว่าบริษัทที่มีทิศทางการเติบโตในไตรมาส 2/2565 ที่ดีขึ้น ทั้งในเชิง QoQ และ YoY จะเคลื่อนไหวดีกว่าตลาด ได้แก่ PTTEP,CPALL ,BH, BDMS, PR9, EKH, AWC, CENTEL, MINT, SHR AOT ,CPN ,DTAC, PSL, RBF, TVO, EPG และ Finance