ส่องงบ BBGI ปี64 กำไร960 ล้านบาท เข้าเทรดในSET 17 มี.ค.นี้

16 มี.ค. 2565 | 06:09 น.

บมจ.บีบีจีไอ (BBGI) หนึ่งในผู้นำและผู้ผลิตรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) โชว์งบการเงินปี64 กำไร 960 ล้านบาท โต 13.61% กวาดยอดขายกว่า 1.4 หมื่นบาท เตรียมเข้าซื้อขายใน SET ว้นแรก 17 มี.ค. นี้ ราคา IPO 10.50 บาท มูลค่าระดมทุน 4,548.60 ล้านบาท

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ.บีบีจีไอ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “BBGI” ในวันที่ 17 มีนาคม 2565

 

 

แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

 

BBGI  ดำเนินธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักคือธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ได้แก่ เอทานอล และไบโอดีเซล กำลังการผลิต 1.6 ล้านลิตรต่อวัน แบ่งเป็นเอทานอล 0.6 ล้านลิตรต่อวัน และไบโอดีเซล 1 ล้านลิตรต่อวัน BBGI ซึ่งเกิดจากการตกลงเป็นพันธมิตรทางธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ระหว่าง บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) กับ บมจ. น้ำตาลขอนแก่น (KSL) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ ทำให้มีความแข็งแกร่งทั้งด้านการจัดหาวัตถุดิบและจัดจำหน่ายผลผลิต 
 

บริษัทมีแผนต่อยอดการเติบโตในอนาคตไปสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (High Value Bio-Based Products) ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology) ซึ่งเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับโมเดล Bio-Circular-Green Economy (BCG) ของภาครัฐในการนำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายของการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงและการพัฒนาที่ยั่งยืน

 

ปัจจุบันบริษัทจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ แบรนด์  B-Nature Plus และลงทุนกับพันธมิตร Manus Bio Inc. ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อจัดจำหน่ายสารให้ความหวาน

 

BBGI มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 3,615 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 1,012.80 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) 433.20 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิมของ BCP และ KSL ในวันที่ 3-8 มีนาคม และบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์และผู้ลงทุนสถาบัน วันที่ 9-11 มีนาคม 2565 ในราคาหุ้นละ 10.50 บาท มูลค่าระดมทุน 4,548.60 ล้านบาท (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 15,183 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จํากัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

 

ด้านนายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีบีจีไอ เปิดเผยว่า BBGI เล็งเห็นโอกาสการเติบโตจากธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพ โดยใช้จุดเด่นด้านความชำนาญในเทคโนโลยีชีวภาพของบริษัทต่อยอดการเติบโต 

 

 
 

"การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ที่จะเข้าลงทุนแบบบูรณาการ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น การเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีความรู้และความสามารถในเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงทั้งในและต่างประเทศ BBGI ตั้งเป้าว่าในปี 2569 จะมีสัดส่วน EBITDA จากกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงที่ส่งเสริมสุขภาพอยู่ที่ 50% ของ EBITDA รวม " นายกิตติพงศ์  กล่าว

 

BBGI มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ BCP ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 40.20% และ KSL ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 26.80% ขึ้นกับการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินและการซื้อหุ้นเพื่อส่งมอบคืน

 

ส่องงบกำไรปี 2564 "BBGI"

 

สำหรับผลดำเนินงานของ บมจ.บีบีจีไอ (BBGI)  ปี 2564 กำไรสุทธิ 960.18 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.95 บาท เพิ่มขึ้น 13.61% จากงวดเดียวกันของปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 845.17 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.83 บาท

 

บริษัทฯ มีรายได้จากการขายจำนวน 14,094.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,524.30 ล้านบาท หรือเพิ่ม 12.13% จากปี 2563 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของรายได้จากธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel)

 

โดยกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลจำนวน 4,610.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 182.84 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.13% เมื่อเทียบกับปี 2563  จากการที่ราคาเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์เอทานอลที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผลผลิตอ้อยมีปริมาณลดลงจากปัญหาภัยแล้งในปี 2563 อีกทั้งราคามันสำปะหลังในประเทศสูงขึ้นจากปริมาณการส่งออกมันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ถึงแม้ว่าปริมาณการผลิตเอทานอลจะลดลง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

 

และกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลจำนวน 9,481.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,339.04 ล้านบาท หรือเพิ่ม16.44% เมื่อเทียบกับปี 2563 จากการที่ราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลปรับสูงขึ้นไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดที่ปรับสูงขึ้น

 

เนื่องจากผลผลิตปาล์มน้ำมันของอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกลดลง จากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ทำให้ขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยวผลิตภัณฑ์ และต้นทุนในการปลูกปาล์มของเกษตรกรเพิ่มสูงขึ้นตามราคาปุ๋ยที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าปริมาณการผลิตไบโอดีเซลจะลดลง จากมาตรการล็อคดาวน์ของรัฐบาล และการปรับลดส่วนผสมไบโอดีเซล ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันไบโอดีเซลปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน

 

คลิกอ่าน :  คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ผลการดำเนินงานงวดปี 2564