SCB ตั้ง"ลลิตภัทร ธรณวิกรัย"นำทัพบริหารธุรกิจเวลท์ให้ลูกค้าระดับสูงในไทย

10 มี.ค. 2565 | 03:51 น.

SCB ประกาศแต่งตั้ง นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย ดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นแม่ทัพนำทีมสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ให้กับลูกค้าบุคคลที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB เปิดเผยว่ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการประกาศแต่งตั้ง นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย ดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ ควบคู่กับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด เพื่อนำทีมสร้างการเติบโตในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับสูงให้กับลูกค้าในประเทศไทย

โดยนางสาวลลิตภัทร เป็นบุคคลหนี่งในแวดวงการเงินการธนาคาร ที่มีประสบการณ์สูงในเรื่องของไพรเวทแบงก์กิ้ง เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและความรู้ด้านการเงิน การลงทุนที่รอบด้าน คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเป็นอย่างดี ด้วยประสบการณ์การทำงานกับธนาคารต่างชาติ และที่ธนาคารไทยพาณิชย์กว่า 20 ปี จนเป็นที่ยอมรับในกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทย จึงเชื่อมั่นว่านางสาวลลิตภัทร  จะนำเอาความรู้ ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ มาช่วยในการสานต่อแผนยุทธศาสตร์และสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้ง ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งและเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าได้อย่างยั่งยืน

 

นางสาวลลิตภัทร  ธรณวิกรัย  รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Bnaking ธนาคารไทยพาณิชย์  กล่าวว่า  พร้อมที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจบริหารความมั่งคั่งให้กับลูกค้าระดับสูงของประเทศไทย ผ่านธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้ง ให้เติบโตไปพร้อมกับความมั่งคั่งของลูกค้าอย่างต่อเนื่องในทุกๆปี โดยธุรกิจไพรเวทแบงก์กิ้ง รับบริหารสินทรัพย์เพื่อการลงทุนตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป (High Net Worth Individuals )  ส่วนไทยพาณิชย์  จูเลียส แบร์  รับบริหารสินทรัพย์ตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป (Ultra High Net Worth Individuals ) เพื่อเป็นการต่อยอดบริหารความมั่งคั่งให้กับลูกค้าที่สนใจลงทุนในต่างประเทศทั้ง100%

 

"หัวใจสำคัญในการบริหารความมั่งคั่งคือ ต้องเข้าใจลูกค้า เข้าใจตลาดการลงทุน คัดสรรผลิตภัณฑ์ และโซลูชั่นด้านการลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ในทุกช่วงเวลา เพื่อให้เงินลงทุนของลูกค้างอกเงยขึ้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ" ลลิตภัทร  กล่าว.

โดย SCB PRIVATE BANKING ยังคงยึด 3 แกนหลักที่เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ  ได้แก่  

  • 1)  การพัฒนาด้าน Wealth Preservation โดยยกระดับคุณภาพของทีมที่ปรึกษาด้านการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล (RM) ให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น  เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ ความต้องการของลูกค้าด้านการลงทุนอย่างแท้จริง  
  •  2) การพัฒนาด้าน Wealth Creation บริการที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุนทั้งในส่วนบุคคลและธุรกิจของลูกค้าแบบครบวงจรมีการลงทุนแบบ Open Architecture Platform ที่สามารถเข้าถึงการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในหลากหลายสินทรัพย์มากที่สุดในประเทศ และ
  • 3) เสริมศักยภาพด้าน SCB Financial Business Group ให้เต็มรูปแบบมากยิ่งขึ้นจากความแข็งแกร่งของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ที่ครบเครื่องทั้งด้านความรู้ ความชำนาญและสินทรัพย์ที่ครบวงจร สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ครอบคลุมทั้งเรื่องธุรกิจและการลงทุน  การผนึกกำลังทุกช่องทางของ SCB Group นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการเสริมศักยภาพของ SCB PRIVATE   BANKING