สงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ กระทบเชิงลบตลาดหุ้นไทย 3 ด้าน

09 มี.ค. 2565 | 12:06 น.

เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ประเมิน สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไม่มาก แต่กระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและเงินเฟ้อ ค่อนข้างรุนแรง ขณะที่ความเสี่ยงจากกระแสเงินลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับปานกลาง

ทีมนักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หรือ MST กล่าวว่า วิกฤติ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาคเศรษฐกิจจริง หากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ส่งผลให้มาตรการตอบโต้ทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการต่างประเทศ เริ่มขยายวงกว้าง

 

ส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงฟื้นตัวจาก Covid-19 และสร้างความกังวลว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทรงตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทย หากประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการคว่ำบาตรรัสเซีย อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ด้าน ได้แก่

 

 

  • 1.ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรง – ไม่มาก
  1. การค้าระหว่างประเทศ: ไทย-รัสเซียมีสัดส่วนที่ไม่สูง ในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ไทยส่งออกไปรัสเซียคิดเป็น 0.5% และนำเข้าคิดเป็นเพียง 0.4% ของมูลค่ารวม
  2. การท่องเที่ยว: แม้นักท่องเที่ยวรัสเซียที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยในปี 2564 สูงเป็นอันดับที่ 4 แต่คิดเป็นจำนวนไม่มากเพียง 3 หมื่นราย เนื่องจากผลกระทบ Covid-19
  • 2.ผลกระทบด้านห่วงโซ่อุปทานและเงินเฟ้อ – ค่อนข้างรุนแรง

ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน คือการเร่งภาวะเฟ้อที่มาจากด้านต้นทุน (Cost Push Inflation) ให้รุนแรงขึ้น ทั้งจากราคาพลังงานโดยตรง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นที่รัสเซียเป็นผู้ผลิตหลักของโลก ส่งผลกระทบเชิงลบต่อกลุ่ม TRANS PETRO Packaging CONMAT และ Manufacturing (ผลลบมากกว่าผลบวกจากราคาสินค้าเกษตรปรับตัวขึ้น)

 

  1. ผลกระทบด้านพลังงาน: หากเกิดกรณีชาติตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซีย (สหรัฐฯส่งสัญญาณยังไม่ปิดโอกาส แต่ยุโรปไม่เห็นด้วย) ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่จะส่งผลให้ Supply ขาดแคลนอย่างเฉียบพลัน
  2. ผลกระทบต่อต้นทุนภาคอุตสาหกรรม: รัสเซียเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งแร่โลหะ (metals) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในหลายอุตสาหกรรม ประกอบด้วย Palladium ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์ Platinum ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และ จิวเวอร์รี่ Nickel ใช้ผลิตแสตนเลส ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการผลิตอุปกรณ์ของใช้ในบ้าน (เช่น เครื่องครัว) อุตสาหกรรมการแพทย์ โครงสร้างพื้นฐาน และยานพาหนะ Copper ใช้ในการก่อสร้าง อุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์ และการขนส่ง

 

  • 3.ความเสี่ยงจากกระแสเงินลงทุนต่างชาติ - ปานกลาง

 

กระแสเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ช่วง ธ.ค. รวมทั้งสิ้นสูงถึงระดับ 8 หมื่นล้านบาท บนมุมมองเชิงบวกแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว การเริ่มเปิดประเทศ ระดับราคาอยู่ในจุดที่ดึงดูด และเป็นช่วงที่ตลาด DM: Developed Market อยู่ในจุดที่ Valuation ตึงตัว

 

อย่างไรก็ตามวิกฤตที่เกิดขึ้นส่งผลให้ภาพดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนไป ตลาดหุ้น DM (S&P500 Stoxx50) ปรับฐานแรงจนกลับไปสู่ระดับเทียบเคียงกับตอนที่เผชิญวิกฤต Covid-19 ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงที่กระแสเงินลงทุนอาจไหลออกจากตลาดหุ้นไทยที่ Outperform สู่ตลาด DM ที่มีส่วนลด

              

ราคาหุ้นตอบรับเชิงลบไปแล้วพอสมควร และลงมาถึงจุดที่น่าสนใจทยอยสะสม ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันตอบรับความเสี่ยงต่างๆไปแล้วพอสมควร และถึงจุดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่โดนผลกระทบจำกัด นำโดย Tourism COMM จาก

  1. SET Index ล่าสุด (ปิดเช้าวันที่ 8 มี.ค.) ปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดของปีประมาณ -5.5%
  2. Earnings Yield Gap ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดของปี ที่ 3.76%                   
  3. ปัจจุบัน SET ซื้อขายที่ P/E 17 เท่า(EPS 94.2)ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย P/E ย้อนหลัง 5 ปี