ปตท.โชว์กำไรแจกปันผลพร้อมส่งเงินเข้ารัฐ 8.2 หมื่นล้าน

17 ก.พ. 2565 | 13:34 น.

บอร์ดปตท.ไฟเขียวจ่ายปันผล 2 บาทต่อหุ้น รวม 57,126 ล้านบาท หลัง กำไรปี 64 โตพุ่งเกิน 100% มีกำไรสุทธิ 108,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70,597 ล้านบาทจากปีก่อนส่งผลกลุ่ม ปตท. ส่งเงินเข้ารัฐกว่า 82,500 ล้านบาท

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการปตท.อนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 เป็นเงิน 2.0 บาทต่อหุ้น รวมทั้งสิ้น  57,126 ล้านบาท จากผลประกอบการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว  

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)

 

รวมถึงความสามารถในการรักษาความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ในปี 2564 กลุ่ม ปตท. ส่งเงินเข้ารัฐกว่า 82,500 ล้านบาท นอกเหนือจากงบประมาณกิจการเพื่อสังคม ปตท. ในปีที่ผ่านมา อีกกว่า 1,646 ล้านบาท 

ด้านผลการดำเนินงาน ปตท. และบริษัทย่อยปี 2564 ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่รวมจากบริษัทในเครือทั้งในและต่างประเทศกว่า 400 แห่ง (ถือหุ้นทางตรง 34 แห่ง และถือหุ้นทางอ้อม 404 แห่ง) มีกำไรสุทธิจำนวน 108,363 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5% ของยอดขาย โดยหลักจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น จากความต้องการที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก รวมถึงการขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

 

ขณะที่ปี 2563 ได้รับผลกระทบจากทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสงครามราคาน้ำมันระหว่างรัสเซียและซาอุดิอาระเบีย ทั้งนี้ สัดส่วนกำไร 31% มาจากการดำเนินธุรกิจของ ปตท. และ 69% มาจากผลตอบแทนการลงทุนในบริษัทในกลุ่ม ปตท. ซึ่งดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยหากแบ่งตามประเภทธุรกิจ มีสัดส่วนมาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศของ ปตท. 31% ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 24% ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น 21% ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน และบริษัทย่อยอื่นๆ 16% สำหรับกลุ่มธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกมีสัดส่วนเพียง 8% โดยกลุ่มธุรกิจน้ำมันมีกำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขายน้ำมันเพียง 2%

 

 

 

นอกจากนั้น ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลุ่มปตท. ยังช่วยบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนโดยชะลอการปรับราคาขายปลีกน้ำมันถึง แม้ว่าต้นทุนราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้น โดยได้ขยายระยะเวลาการคงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(NGV)ที่ 15.59 บาท/กิโลกรัม และราคาขายปลีก NGV ในโครงการ “เอ็นจีวี เพื่อลมหายใจเดียวกัน” สำหรับ ผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถแท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลที่เคยรับสิทธิ์ผ่านเว็บเอ็นจีวีเพื่อลมหายใจเดียวกันที่ 13.62 บาทต่อกิโลกรัม จนถึงวันที่ 15 มีนาคม 2565

 

ปตท. ยังสนับสนุนส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม (LPG) แก่ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนเงิน 100 บาท/คน/เดือน ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565

 

ปตท.ยังสานต่อโครงการลมหายใจเดียวกัน สนับสนุนระบบสาธารณสุขไทยช่วงสถานการณ์โควิด-19 ร่วมจัดตั้งหน่วยวัคซีนเคลื่อนที่เชิงรุก จนถึงหน่วยคัดกรองโควิด-19 และโรงพยาบาลสนามครบวงจรรวมประมาณ 1,900 ล้านบาท และยังดำเนินกิจการเพื่อสังคมในทุกมิติต่อเนื่อง 

 

“ปตท. ในฐานะรัฐวิสาหกิจ โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่  ยังคงขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานของชาติ สร้างความแข็งแกร่ง และเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจภายใต้ความท้าทายที่เกิดขึ้น เพื่อผลตอบแทนกลับคืนสู่เศรษฐกิจและสังคมไทยต่อไป”นายอรรถพลกล่าว

 

สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4 ปี 2564 ปตท.และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 27,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,891 ล้านบาท หรือ 16.5% จากไตรมาส 3 ปี 64 ที่มี 23,653 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 14,397 ล้านบาทหรือมากกว่า 100.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13,147 ล้านบาท ตาม EBITDA ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ลดลง 4,412 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง 3,672 ล้านบาทและที่มีภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 11,306 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบทั้งปี 2564 กับปี 2563 พบว่า ปี 2564 ปตท.และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ  108,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70,597 ล้านบาทหรือมากกว่า 100.0% จากในปี 2563 ที่มี 37,766 ล้านบาท ตาม EBITDA ที่เพิ่มขึ้น แม้ปี 2564 มีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น 34,224 ล้านบาทและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 15,739 ล้านบาทรวมถึงภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 42,424 ล้านบาท

 

อีกทั้งปี 2564 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำสุทธิภาษีตามสัดส่วนของปตท.ขาดทุน 6,945 ล้านบาท โดยหลักจากการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ สุทธิภาษีของกลุ่ม ปตท. 9,000 ล้านบาท จาก PTTEP ปตท. และ GC ดังกล่าวข้างต้น รวมถึงมีรับรู้การตัดจำหน่ายสินทรัพย์บางส่วนในโครงการสำรวจปิโตรเลียมในประเทศบราซิล 2,900 ล้านบาทของ  PTTEP

 

นอกจากนั้น มีการรับรู้ค่าใช้จ่าย Take or Pay ประมาณ 2,700 ล้านบาทของปตท. สุทธิกับการรับรู้กำไรจากการซื้อธุรกิจในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของโครงการโอมาน แปลง 61ของ PTTEP  7,000 ล้านบาทและมีส่วนลดจากปริมาณที่ผู้ผลิตส่งได้ไม่ถึงปริมาณตามสัญญา (Shortfall)ของ ปตท. 1,700 ล้านบาท

 

รวมถึงมีการรับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในธุรกิจท่อส่งก๊าซฯในอียิปต์ ของ PTTER  1,400 ล้านบาท ขณะที่ปี 2563 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำสุทธิ ภาษีตามสัดส่วนปตท.ขาดทุน 9,478 ล้านบาท โดยหลักจากการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ของกลุ่มปตท.สุทธิภาษี 9,000 ล้านบาทเช่นกัน โดยหลักจากเหมืองถ่านหินของ PTTGM และโครงการสำรวจและผลิตของ PTTEP

 

สำหรับสถานะการเงินของปตท.และบริษัทย่อย ณ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 3,078,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 533,836 ล้านบาทหรือ 21% จาก 31ธันวาคม 2563 ที่มีสินทรัพย์รวม 2,544,183 ล้านบาท สาเหตุหลักจากสินทรัพยไม่มีตัวตนอื่น และค่าความนิยมเพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อบริษัท Allnex Holding GmbH (Allnex) ของ GC

 

รวมถึงที่ดิน อาคารและอุปกรณ์เพิ่มขึ้นโดยหลักจากการเข้าซื้อธุรกิจในโครงการโอมาน แปลง 61 ของ PTTEP ประกอบกับลูกหนี้การค้าและสินค้าคงเหลือที่เพิ่มขึ้นตามราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นและเงินลงทุนระยะยาวที่เพิ่มขึ้น โดยหลักจากการลงทุนใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ของ TOP และ Avaada ของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC)

 

ขณะที่มีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 1,605,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 346,741 ล้านบาท หรือ 27.6% จากการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาว 154,322 ล้านบาท โดยหลักจากเงินกู้ยืมระยะยาวและการออกหุ้นกู้ของ GC ปตท.และ TOP ประกอบกับเจ้าหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยด้านราคา

 

นอกจากนั้น ณ 31 ธันวาคม 2564 มีส่วนของผู้ถือหุ้น 1,472,940 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 187,095 ล้านบาท หรือ 14.6%โดยหลักจากกำไรสุทธิของปตท.และบริษัทย่อยปี 2564 ที่เพิ่มขึ้น และจากการเพิ่มทุนของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) สุทธิด้วยการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งหลังของปี 2563และผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2564