TMBAM Eastspring แนะสะสมหุ้นอินเดีย เมื่อราคาย่อตัว

08 ก.พ. 2565 | 08:33 น.

TMBAM Eastspring คาดเศรษฐกิจโลกจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ แม้ยังกังวลกับนโยบายเฟดและอัตราเงินเฟ้อ แต่เป็นจังหวะสะสมหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะอินเดีย แนะทยอยเก็บกองทุน “TMBINDAE”เมื่อปรับฐาน เชื่อมีศักยภาพในการเติบได้อีกมาก

นายพงศ์สรร ยอดเมืองเจริญ ผู้อำนวยการส่วนบริหารผลิตภัณฑ์ TMBAM Eastspring เปิดเผยว่า ปีนี้เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นทั่วโลก แม้จะยังมีแรงกดดันจากสถานการณ์โควิดอยู่บ้าง แต่จะเริ่มคลี่คลายในไม่ช้า ส่วนการดำเนินนโยบายของ Fed และอัตราเงินเฟ้อเชื่อว่า อาจส่งผลกระทบต่อ sentiment ไปบ้างในช่วงครึ่งปีแรกนี้ แต่อาจเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าสะสมหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะอินเดียเมื่อราคาย่อตัว โดยมีปัจจัยสนับสนุนในระยะยาวดังนี้


 

นายพงศ์สรร ยอดเมืองเจริญ ผู้อำนวยการส่วนบริหารผลิตภัณฑ์ TMBAM Eastspring

  • เศรษฐกิจอินเดียยังมีแนวโน้มเติบโตได้ในระดับสูงถึง 5-6% ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า โดยมาจากการบริโภคในประเทศที่ได้รับประโยชน์จากจำนวนประชากรที่อยู่ในระดับสูงถึง 1.38 พันล้านคน และสัดส่วนประชากรวัยแรงงานที่สูงถึง 65% นอกจากนี้รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการผลักดันงบประมาณการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยิ่งเชื่อได้ว่าอินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกภายในปี 2030-2032 รองจากสหรัฐฯ และจีน

 

  • เราจะเห็นว่า อินเดียมีกระแสเงินลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) อยู่ในระดับสูง ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากที่อินเดียมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลมีการผ่อนปรนกฎระเบียบต่างๆ ในต่างชาติสามารถทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น โดยเห็นได้จากดัชนีความง่ายในการลงทุน (Ease of Doing Business) ไต่อันดับขึ้นเป็น 62 ในปี 2019 จากเดิมอยู่ที่ 142 ในปี 2014 ทำให้อินเดียเป็นประเทศฐานการผลิตและส่งออกที่สำคัญของโลก จึงถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน นอกเหนือจากการบริโภคในประเทศ
  • อินเดียมีการเตรียมพร้อมกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีของโลกที่เปลี่ยนไป ผ่านนโยบายดิจิตอลอินเดีย (Digital India) ตั้งแต่ปี 2015 โดยในขณะนั้นนายกฯ นเรนธรา โมดี ต้องการกระจายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไปทั่วทุกพื้นที่ของอินเดีย เพื่อรองรับระบบการเงินทั่วโลกที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจดิจิตอล โดยปัจจุบันอินเดียมีสัดส่วนผู้ใช้ Smartphone ราว 30-35% เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ ซึ่งยังต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐและจีนที่มีอัตราการใช้สูงกว่า 60% ทำให้ยังมีช่องให้สามารถเติบโตได้อีกมาก

 

  • หากพูดถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่มีบุคลากรที่พรั่งพร้อม ดังจะเห็นได้จากผู้บริหารในบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกนั้นมีหลายคนเป็นอินเดีย  ไม่ว่าจะเป็น Parag Agrawal ที่ล่าสุดมารับตำแหน่งซีอีโอของ Twitter,  Sataya Nadella ซีอีโอปัจจุบันของ Microsoft และ Sundar Pichai ซีอีโอปัจจุบันของ Google โดยปัจจัยเหล่านี้ผลักดันให้ อินเดียเป็นประเทศที่มีจำนวนธุรกิจ Startup สูงเป็นลำดับที่ 3 ของโลก รองสหรัฐอเมริกา และจีน และคาดว่าในปี 2024 มูลค่าตลาดหุ้นอินเดียจะขึ้นมาเป็น 5 ของโลกแซงหน้าสหรัฐอาณาจักรและแคนาดา หาก Startup เหล่านี้เริ่มทยอยจดทะเบียนซื้อขายในตลาดมากขึ้น

 

  • ตลาดหุ้นอินเดียยังเป็นตลาดที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศและในประเทศซึ่งจะเห็นได้จาก Fund Flow ไหลเข้าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่มากถึง 4.1 และ 2.1 หมื่นเหรียญ โดยยังคงมีแรงผลักดันต่อจากการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้นภายหลังนายโมดียังได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ทำให้การดำเนินนโยบายการคลังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และการเติบโตที่ดีของกำไรของบริษัทจดทะเบียนในอินเดียที่มาจากหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี, การเงิน, สินค้าฟุ่มเฟือย และ วัสดุ ฯลฯ

 

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ตลาดหุ้นอินเดียอาจเผชิญกับความผันผวนจากแรงกดดันที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับหุ้นอินเดียยังถือว่ามีมูลค่าค่อนข้างแพงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ และค่าเฉลี่ยในอดีต ดังนั้น นักลงทุนอาจใช้จังหวะการปรับฐานของตลาดหุ้นทยอยสะสมเพื่อถือครองในระยะยาวได้

 

สำหรับกองทุน TMBINDAE หรือ กองทุนเปิดทีเอ็มบี India Active Equity เน้นลงทุนในกองทุนหลักเพียงกองทุนเดียว คือ กองทุน Goldman Sach India Equity Portfolio นโยบายของกองทุนหลักจะเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทในประเทศอินเดียที่มีคุณภาพและมีการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงมีเป้าหมายเอาชนะดัชนี MSCI India IMI ในระยะยาว โดยเน้นคัดสรรการลงทุนแบบ Bottom Up จากทีมงาน local based ทำให้กองทุนนี้มีความโดดเด่นเรื่องการหาผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากหุ้นขนาดกลางและเล็ก