ธอส. ห่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ดันเงินงวดผ่อนบ้าน ปรับขึ้นในรอบ 10 ปี

02 ก.พ. 2565 | 06:54 น.

ธอส. มองปี 65 ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก ห่วงลูกหนี้ ธอส. กว่า 35% กระทบจากค่างวดผ่อนบ้านที่ปรับเพิ่มขึ้นในรอบกว่า 10 ปี พร้อมเผยมีลูกหนี้หยุดผ่อนชำระและติดต่อไม่ได้อีกกว่า 1 หมื่นราย เสี่ยงเป็นหนี้เสียในช่วง 90 วันต่อจากนี้

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปี 2565 เป็นทิศทางขาขึ้นทั่วโลก ตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ซึ่งหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ก็เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะปรับขึ้นตาม ส่งผลให้สถาบันการเงินในประเทศขยับดอกเบี้ยขึ้นตามด้วยเช่นกัน

 

ทั้งนี้ ธอส. จะพยายามขยับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตามให้ช้าที่สุดและในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายกว่าครึ่งนึง อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากังวล คือ ความถี่ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งหากมีการปรับขึ้นถี่ในระยะเวลาอันสั้น หรือ มีการปรับขึ้นทุกครั้งที่มีการประชุม ก็อาจส่งผลกระทบไปถึงเงินงวดในการผ่อนชำระหนี้ของลูกหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการผ่อนชำระค่างวดต่ำ ซึ่งมีประมาณ 35% ของจำนวนลูกหนี้ ธอส. 

 

“ปี 65 เป็นครั้งแรกที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นพร้อมกันทั่วโลกในรอบกว่า 10 ปี สิ่งที่น่ากังวลคือ การปรับขึ้นดอกเบี้ยถี่ในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งจะกระทบต่อเงินงวดในการผ่อนชำระของลูกหนี้ เช่น กรณีดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านขึ้น 0.25% จะทำให้เงินงวดผ่อนชำระ ทุกๆ เงินกู้ 1 ล้านบาท ปรับขึ้นประมาณ 500 บาทต่อเดือน โดยกลุ่มลูกหนี้ที่จะได้รับผลกระทบจะเป็นกลุ่มที่ผ่อนชำระค่างวดในอัตราไม่สูง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าในกลุ่มอาชีพอิสระ” นายฉัตรชัย กล่าว 

 

นายฉัตรชัย กล่าวด้วยว่า ในปี 2565  ธอส. ได้ดำเนินมาตรการตามนโยบายปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยได้ปิดลงทะเบียนเข้ามาตรการไปแล้วเมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งจากจำนวนลูกค้าทั้ง 122,764 บัญชีของ ธอส. มีลูกค้าที่ไม่เข้าร่วมมาตรการจำนวน 41,500 บัญชี และมีลูกค้าเข้าร่วมมาตการจำนวน 81,000 บัญชี อย่างไรก็ตาม พบว่า มีประมาณ 11,000 บัญชี หรือประมาณ 11,000 ล้านบาท ที่ไม่มีการชำระเงินงวดและไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นหนี้เสีย หรือ NPL ภายในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 90 วันต่อจากนี้ หรือช่วงเดือนมีนาคม 65  ทั้งนี้ ธอส. ได้มีการตั้งสำรองหนี้เสียของกลุ่มนี้ไว้แล้ว

 

ขณะที่ผลการดำเนินงาน ในปี 2564 ที่ผ่านมา ธอส. ได้ปล่อยสินเชื่อใหม่จำนวน 246,875 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.65% สูงกว่าเป้าหมาย 31,234 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดในรอบ 68 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคาร โดยมีสินเชื่อคงค้าง 1,458,659 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.40% มีสินทรัพย์รวม 1,506,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.04% เงินฝากรวม 1,274,849 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.74%

ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)  มีจำนวน 58,381 ล้านบาท คิดเป็น 4% ของยอดสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งมี NPL อยู่ที่ 3.75% ของสินเชื่อรวม และยังเป็นระดับที่บริหารจัดการได้ ธนาคารได้ทยอยตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเป็นจำนวนสูงถึง 111,827 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.93% หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อ NPL ที่ระดับ 191.55% สะท้อนถึงความมั่นคงและพร้อมในการรองรับผลกระทบจาก COVID-19 ในอนาคต และยังคงมีกำไรสุทธิที่ 12,351 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ระดับแข็งแกร่งที่ 15.30% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดที่ 8.50%

 

ขณะที่ในปี 2565 ธอส. ได้ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น 3% จากปี 2564 ที่ทำได้ 2.47 แสนล้านบาท โดยมีสินเชื่อบ้านล้านหลัง เฟส 2 วงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันอนุมัติไปแล้ว 7,174 ราย วงเงิน 6,093 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีสินเชื่อที่จะร่วมกับกรมธนารักษ์ ที่ยังมีโครงการสร้างที่อยู่อาศัยให้กับผู้สูงอายุ โครงการข้าราชการ และการเคหะแห่งชาติ โดย ธอส. ได้เตรียมวงเงินไว้ 2,000 ล้านบาท ส่วนนี้จะเป็นแผนสำหรับช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจะมีการเสนอนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่ออนุมัติการดำเนินการอีกครั้ง

 

ขณะเดียวกัน ธอส. ยังมีแผนระดมทุนไม่ให้กระทบกรณีดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น การออกสลากออมทรัพย์ ระดมเงินฝากประจำ และยังมีแผนออกพันธบัตรหุ้นกู้ เป็นต้น ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าจะออกสลากออมทรัพย์ ธอส. วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท ให้อัตราดอกเบี้ยสูง เพื่อระดมทุนไปปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาขึ้น ฉะนั้น ผู้ที่มีเงินออมก็จะได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่สูง ขณะที่ผู้ซื้อบ้าน ก็จะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ โดยส่วนนี้จะออกมาในช่วงสงกรานต์ เพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชนด้วย