ธปท.ปรับตัว 3ด้าน แนะธนาคารชูนโยบายปล่อยสินเชื่อESG

27 ก.ย. 2564 | 05:44 น.

ธปท.ย้ำต้องปรับตัวใน 3ด้าน แนะภาคธุรกิจ-ประชาชนเตรียมสำรองค่าใช้จ่ายรองรับความไม่แน่นอน หวังทุกภาคส่วนออกจากวิกฤตโควิดได้ด้วยแผลเป็นที่น้อยที่สุดเพื่อให้มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการปรับตัวเพื่อรองรับกระแสโลกใหม่ “ดิจิทัล-ESG”

ธปท.ย้ำต้องปรับตัวใน 3ด้าน แนะภาคธุรกิจ-ประชาชนเตรียมสำรองค่าใช้จ่ายรองรับความไม่แน่นอน พร้อมให้นำหนักด้านสิ่งแวดล้อม เปิดเผยข้อมูล รับบริบทใหม่  หวังทุกภาคส่วนออกจากวิกฤตโควิดได้ด้วยแผลเป็นที่น้อยที่สุดเพื่อให้มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการปรับตัวเพื่อรองรับกระแสโลกใหม่ “ดิจิทัล-ESG”

ธปท.ปรับตัว 3ด้าน  แนะธนาคารชูนโยบายปล่อยสินเชื่อESG

นายเศรษฐพุฒิ  สุทธิวาทนฤพุฒิ   ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)บรรยายพิเศษในหัวข้อ "มาตรการช่วยเหลือและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยุคโควิด" ในงานประชุมสามัญประจำปี 2564 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.)โดยระบุว่าการปรับตัวที่จำเป็นต่อการวางรากฐานในอนาคตที่เศรษฐกิจและธุรกิจไทยจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน

สำหรับระยะข้างหน้าแม้จะมีหลายเรื่องที่เป็นกระแสใหม่ อย่างน้อย 2 เรื่องที่จะมาเร็วและแรงซึ่งทุกคนต้องเตรียมรับมือ 1. กระแสดิจิทัล ซึ่งเริ่มเห็นการใช้เทคโนโลยีต่างๆเช่น  Digital footprint ในการทำธุรกิจด้วยนวัตกรรมใหม่ๆรวมถึงผู้เล่นรายใหม่ๆที่เข้ามามีบทบาทในเรื่องของดิจิตอลมากขึ้นซึ่งการเตรียมความพร้อมรองรับกระแสดิจิทัลเป็นโจทย์ของสำคัญกับทุกภาคส่วน 

2.กระแสกระแส ESG โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อมพี่จะสร้างผลกระทบเร็วและแรงกว่าที่คาดไว้ไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องภาวะโลกร้อนที่ทำให้เกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วม แต่จะรวมถึงผลกระทบภาคธุรกิจจากการออกนโยบายต่างๆเพื่อบรรเทาปัญหาเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนของประเทศที่พัฒนาแล้ว

 

เช่น    กรณีที่สหภาพยุโรปออก european Green  Deal ซึ่งจะมีการบังคับใช้ Carbon Border  Adjustment   Mechanism หรือ CBAM  ซึ่งจะคล้ายกับภาษีที่จัดเก็บตามCarbon footprint ของสินค้าต่างๆ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุด  ถ้าเราไม่ปรับตัวเช่นสินค้าส่งออกยังมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากจะได้รับผลกระทบมากเช่นกัน

 

ดังนั้นทั้งสองกระแสจึงเป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะมากระทบกับทุกภาคส่วนซึ่งทุกฝ่ายต้องปรับตัวปรับรูปแบบและกระบวนการทำงานเพื่อให้สามารถรองรับกระแสดังกล่าวซึ่งนับวันจะมีบทบาทต่อการดำเนินธุรกิจมากขึ้น

ที่สำคัญเราจะต้องออกจากวิกฤตนี้ด้วยแผลเป็นที่น้อยที่สุดเพื่อให้มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการปรับตัวเพื่อรองรับกระแสโลกใหม่ได้ดีขึ้น

สำหรับภาคธุรกิจภายใต้บริบทที่ปัจจัยภายนอกมีความไม่แน่นอนสูงการวางแผนทางการเงินการบริหารความเสี่ยงการดำเนินกิจการหรือการลงทุนใหม่จะต้องให้น้ำหนักมากขึ้นกับกระแสโลกใหม่ รวมทั้งให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและกระแสดิจิทัลที่จะทำให้ธุรกิจต้องแข่งขันได้มากขึ้น

ในส่วนของภาคประชาชนต้องเตรียมรับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เร่งวางแผนทางการเงิน  เตรียมเงินสำรองสำหรับการใช้จ่ายยามฉุกเฉินรวมถึงการให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เรียนรู้ทางการเงินให้มากขึ้น  ขณะเดียวกันต้องเนื้อเพลงรอเพิ่มความเท่าทันต่อกระแสดิจิทัล เพราะนอกจากจะเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานยังจะช่วยป้องกันการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆที่เพิ่มขึ้น

 

สำหรับธนาคารพาณิชย์นอกจากดูแลลูกหนี้ให้ผ่านพ้นวิกฤตแล้ว ธนาคารพาณิชย์ยังต้องปรับตัวเพื่อรองรับบริบทใหม่และต้องจัดทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจให้เป็นไปในรูปแบบที่สอดคล้องกับกระแสของอนาคต  เช่น การผนวกเรื่อง ESG เข้ากับกระบวนการให้สินเชื่อ  การเปิดเผยข้อมูลเรื่องการดำเนินการด้านความยั่งยืนรวมถึงการมีนโยบายขององค์กรที่ให้ความสำคัญเรื่อง ESGอย่างชัดเจน

นายเศรษฐพุฒิกล่าวเพิ่มเติมว่าธปท.ในฐานะผู้กำกับดูแลระบบธนาคารพาณิชย์ และทำหน้าที่ดูแลเสถียรภาพการเงินของประเทศก็ต้องปรับตัวใน 3 ด้านคือ 1.การดูแลให้บรรยากาศในภาคการเงินให้เอื้อต่อการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ

2.เพิ่มสมดุลระหว่างการเอื้อนวัตกรรมใหม่  ผู้เล่นรายใหม่กับการดูแลให้ระบบการเงินยังสามารถสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้และมีประสิทธิภาพ และ

3.ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชนและ SME ที่ยังเป็นPainpoint สำหรับระบบการเงินไทย

ภาครัฐเองก็ต้องปรับตัว โดยเฉพาะการปรับปรุงระเบียบให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนมากขึ้น  และในการดำเนินการแก้ปัญหาวิกฤตโควิดภาครัฐได้ดำเนินนโยบายแบบ Countercyclical       เยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดได้ขยายเพดานหนี้สาธารณะสูงขึ้นเป็น 70%แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะดูแลสถานการณ์ให้ได้มากขึ้นและต่อเนื่องแต่ก็ต้องใส่ใจกับการใช้เงินงบประมาณที่เพิ่มขึ้นให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้เศรษฐกิจกลับไปเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพและยั่งยืน

"เราผ่านวิกฤตที่หนักมาแล้วไม่ว่าวิกฤตปี2540,,วิกฤตการเงินโลก วิกฤตน้ำท่วมปี2554   ผมยังเชื่อว่าท้ายที่สุดเราจะผ่านพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ได้  โดยให้คนรอดได้มากที่สุด  ลดแผลเป็นให้น้อยที่สุด สิ่งสำคัญทุกภาคส่วนทำหน้าที่ของตัวเองให้ได้ดีและต้องเข้าใจในบทบาทและข้อจำกัดของกันและกันเพื่อไม่ให้เกิดเส้นแบ่งว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นของลูกหนี้หรือเจ้าหนี้  ลูกจ้างหรือนายจ้างรายเล็กหรือรายใหญ่เพราะทุกคนต่างได้รับผลกระทบ 

ดังนั้น  การประนีประนอมกันมากขึ้น  หันหน้าเข้าหากัน  และมองให้รอบด้านจะทำให้เราเห็นทางออกในการก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันได้อีกครั้ง"

 

ทั้งนี้  ที่ผ่านมาธปท. ได้ดำเนินมาตรการต่างช่วยเหลือเศรษฐกิจโดยรวม  ภาคธุรกิจและประชาชนรายย่อยให้สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้มากที่สุด แต่แน่นอนยังไม่เพียงพอสำหรับระยะข้างหน้าธุรกิจจะประเผชิญกับความท้าทายและต้องเติบโตให้ได้อย่างยั่งยืนโลกใหม่ ซึ่งธปท. พร้อมจะมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนและจูงใจให้ทุกฝ่ายสามารถปรับตัวได้ในช่วงเปลี่ยนผ่านตอนนี้ผมทำธุรกิจใหม่ๆได้ราบรื่นและทันการ

 

 อ่านฉบับเต็ม ผู้่ว่าธปท.