กรมทรัพย์สินฯ กางแผน ปี 69 ดันสินค้า GI เพิ่ม 28 รายการ ตั้งเป้า 3.6 หมื่นล้าน

15 ธ.ค. 2568 | 03:56 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ธ.ค. 2568 | 04:17 น.

กรมทรัพย์สินฯ เผย สินค้า GI ไทยพุ่ง 244 ราย มูลค่าสะสม 1.14 แสนล้าน ตั้งเป้าเพิ่มรายการสินค้า 28 รายการ สร้างมูลค้า 3.6 หมื่นล้านบาท เร่งขยายตลาดออฟไลน์–ออนไลน์–ส่งออก

KEY

POINTS

  • กรมทรัพย์สินทางปัญญาวางแผนปี 2569 จะขึ้นทะเบียนสินค้า GI เพิ่มอีก 28 รายการ
  • ตั้งเป้าหมายสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากสินค้าใหม่ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 36,000 ล้านบาท
  • มีกลยุทธ์ขยายตลาดครอบคลุมทั้งการร่วมมือกับห้างค้าปลีก แพลตฟอร์มออนไลน์ และการส่งออกไปต่างประเทศ
  • เตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์การใช้ตรา GI สำหรับสินค้าแปรรูป และขยายระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เพื่อเพิ่มมูลค่า

สินค้า GI (Geographical Indication) หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ มีความสำคัญในการสร้างความแตกต่างและมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น โดยตราสัญลักษณ์ GI ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา 

อีกทั้งยังช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรและผู้ผลิตรายย่อย สินค้าที่รับการรับรองสินค้า GI จึงเป็นการยกระดับสินค้าไทยให้มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น สามารถแข่งขันได้ทั้งในตลาดภายในและตลาดโลก

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า ปัจจุบันสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการแล้วมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 244 รายการ โดยสินค้าทั้งหมดนี้ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและมูลค่าการซื้อขายสะสมรวม 114,000 ล้านบาท 

สำหรับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมสินค้า GI ในปีงบประมาณ 2569 (ปีงบ 69) กรมฯ ได้ตั้งเป้าหมายเชิงรุกที่จะเพิ่มจำนวนสินค้า GI เข้าสู่ทะเบียนอีก 28 รายการ โดยคาดว่าจะสามารถาร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 36,000 ล้านบาท

โดยปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนสินค้า GI รายการใหม่ไปแล้ว 4 รายการในช่วงต้นปีงบประมาณ การดำเนินการนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของการขยายตลาด GI เนื่องจากเป็นการสร้างความมั่นคงและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นมาตรการในการกระตุ้นและขยายฐานเศรษฐกิจระดับชุมชน 

กลยุทธ์ขยายช่องทางการจำหน่ายและการตลาด

ทั้งนี้ กรมฯ ได้วางแผนกลยุทธ์การขยายตลาดอย่างครอบคลุม ทั้งช่องทางออฟไลน์ ออนไลน์ และการส่งออก โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์และบรรจุภัณฑ์ (Packaging & Logistics)

กรมฯ ได้เริ่มโครงการความร่วมมือกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อมุ่งเน้นการสนับสนุนสินค้าเกษตร GI โดยเฉพาะ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านบรรจุภัณฑ์ (Packaging) และการขนส่งให้กับผู้ประกอบการสินค้าเกษตร GI  โดยสนับสนุนในรูปแบบของการให้ส่วนลดพิเศษ หรือการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้

 

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา 

2. การเจาะตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade Penetration)

กรมฯ ได้มีการดำเนินกิจกรรมร่วมกับห้างสรรพสินค้าและผู้ค้าปลีกรายใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีการร่วมมือกับ Tops ซึ่งมีการจัดสรรพื้นที่วางจำหน่าย (Shelf) สำหรับสินค้า GI โดยเฉพาะ และในแผนงานที่กำลังจะเกิดขึ้น มีการขยายความร่วมมือไปยังผู้ค้าปลีกรายใหญ่รายอื่น เช่น Lotus และ Makro ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อนำสินค้า GI เข้าสู่ช่องทางการจำหน่าย

รวมถึง 7-Eleven (ภายใต้ CP All) มีการพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการนำสินค้า GI เข้าสู่เครือข่ายร้านสะดวกซื้อ

3. การผลักดันช่องทางแพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Platform Strategy)

การตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ถือเป็นอีกเสาหลักสำคัญในแผนงานของกรมฯ ปัจจุบันมีการร่วมมือกับแพลตฟอร์ม Barn Thailand ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ให้ความสนใจและมีระบบรองรับสินค้าเกษตร GI โดยเฉพาะ

 

กรมทรัพย์สินฯ กางแผน ปี 69 ดันสินค้า GI เพิ่ม 28 รายการ ตั้งเป้า 3.6 หมื่นล้าน

 

นอกจากนี้ กรมฯ อยู่ระหว่างการเจรจาขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ไปยังแพลตฟอร์มดิจิทัลขนาดใหญ่ระดับโลกและระดับภูมิภาค ได้แก่

  • TikTok
  • Meta
  • Shopee
  • Lazada

โดยความร่วมมือกับแพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเปิดช่องทางการขาย แต่ยังรวมถึงการสนับสนุนในรูปแบบของการให้คำปรึกษาและการฝึกอบรม (Training) เพื่อให้ผู้ประกอบการสินค้า GI มีความรู้ความเข้าใจในวิธีการนำเสนอสินค้า การจัดการโลจิสติกส์ และเทคนิคการขายบนแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ

4. กลยุทธ์การส่งออกและการทำตลาดต่างประเทศ

กรมฯ มีแผนการส่งเสริมการตลาดในต่างประเทศอย่างชัดเจน โดยจะมีการนำสินค้า GI ไปออกตลาดและจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในประเทศที่มีศักยภาพ โดยเน้นประเทศที่สินค้า GI ของไทยได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและจดจำในตลาดโลก อาทิ

  • ประเทศญี่ปุ่น มีสินค้า GI ของไทยที่ขึ้นทะเบียนแล้ว เช่น กาแฟดอยตุง
  • ประเทศจีน เป็นอีกตลาดใหญ่ที่มีสินค้า GI ของไทยได้รับการรับรอง

กิจกรรมดังกล่าวมีกำหนดจะเริ่มดำเนินการภายในปีหน้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในระดับนานาชาติให้กับสินค้า GI ของไทย 

 

กรมทรัพย์สินฯ กางแผน ปี 69 ดันสินค้า GI เพิ่ม 28 รายการ ตั้งเป้า 3.6 หมื่นล้าน

 

การปฏิรูปหลักเกณฑ์การใช้ตรา GI และระบบตรวจสอบย้อนกลับ

ปัจจุบันกรมฯ กำลังดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์และขยายขอบเขตการใช้ตราสัญลักษณ์ GI เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมแปรรูป

1. การใช้ตรา GI สำหรับวัตถุดิบแปรรูป ปัจจุบันกฎระเบียบของ GI กำหนดให้การใช้ตราสัญลักษณ์ต้องติดไปกับตัวสินค้าที่ขึ้นทะเบียนโดยตรงเท่านั้น ส่งผลให้สินค้าที่นำ GI ไปใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปขั้นถัดไป (เช่น การนำฝรั่ง GI ไปทำน้ำผลไม้) ไม่สามารถใช้ตรา GI เดิมได้ ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถรับรู้ถึงที่มาของวัตถุดิบได้ เพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มมูลค่าการขายให้กับผู้ประกอบการที่ใช้วัตถุดิบ GI กรมฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะพัฒนาตราสัญลักษณ์ใหม่ หรือมีการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของตรา (เช่น การเปลี่ยนสี) 

โดยมีรูปแบบที่คล้ายกับตรา GI เดิม แต่จะมีคุณสมบัติและหลักเกณฑ์การใช้งานที่แตกต่างกัน เพื่อให้สินค้าแปรรูปสามารถใช้ตราใหม่นี้ได้ การดำเนินการนี้ถือเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความรอบคอบและอยู่ระหว่างการกำหนดคุณสมบัติที่ชัดเจน

2. การขยายผลระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)

กรมฯ ได้เริ่มนำร่องการใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) กับสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงบางรายการแล้ว เช่น ทุเรียนและลำไย และมีแผนที่จะขยายผลไปยังสินค้า GI อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ฝรั่งกิมจู 

โดยเน้นย้ำว่าระบบนี้จะต้องเป็นระบบที่ครบวงจร ไม่ใช่เพียงแค่การใช้รหัส QR Code เท่านั้น แต่เป็นการทำให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาและกระบวนการผลิตของสินค้าได้อย่างแท้จริง เพื่อสร้างความโปร่งใสและยกระดับมาตรฐานสินค้า GI ไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล