KEY
POINTS
ท่ามกลางสถานการณ์ค่าฝุ่น PM2.5 ที่พุ่งสูงขึ้นในกรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสสังคมจำนวนไม่น้อยพุ่งเป้าไปที่ “การเผาอ้อย” ว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของมลพิษทางอากาศรอบใหม่ ชาวไร่อ้อยจึงตกเป็น “จำเลย” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในฐานะผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นทางของฝุ่นพิษ
แต่ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ ปัญหาฝุ่น PM2.5 ระลอกนี้กลับเกิดขึ้น “ก่อน” ที่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวอ้อยจะเริ่มอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ทำให้เกิดคำถามสำคัญตามมาว่า เมื่อโรงงานน้ำตาลยังแทบไม่เปิดหีบอ้อย ชาวไร่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้เริ่มตัดอ้อย แล้วฝุ่น PM2.5 ที่ปกคลุมหลายพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมา “มาจากไหน” และด้วยเหตุใด “ชาวไร่อ้อย” จึงกลายเป็นกลุ่มที่ถูกสังคมตั้งคำถามอยู่เสมอ
นายรังสิต เฮียงราช ผู้อำนวยการบริษัท ไทยชูการ์ มิลเลอร์ จำกัด และเลขานุการคณะกรรมการประสานงาน 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย (TSMC) อธิบายภาพรวมสถานการณ์อ้อย–น้ำตาลในปีนี้ว่า ฤดูการหีบอ้อยประจำปี 2568/69 เพิ่งเริ่มต้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมาเท่านั้น
ประเทศไทยมีโรงงานน้ำตาลทั้งหมด 58 แห่ง แต่ ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2568 มีเพียง 8 โรงงานที่เริ่มเดินเครื่องหีบอ้อยจริง ขณะที่โรงงานส่วนใหญ่ยังไม่เปิดหีบอย่างเต็มรูปแบบ นั่นหมายความว่า กิจกรรมการขนส่งอ้อยเข้าโรงงานและปริมาณการเก็บเกี่ยวจริงในภาพรวมประเทศยังมีไม่มาก
ที่สำคัญ ตัวเลขจากโรงงานทั้ง 8 แห่งสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมการเก็บเกี่ยวที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คือโรงงานรับซื้อ “อ้อยสด” สูงถึง 99.7% ขณะที่ “อ้อยไฟไหม้” มีสัดส่วนเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น
ภาครัฐเองยังได้กำหนดแนวทางชัดเจน โดยขอความร่วมมือให้โรงงานน้ำตาลรับอ้อยไฟไหม้ไม่เกิน 5% ของปริมาณอ้อยทั้งหมดในช่วงก่อนวันเด็กแห่งชาติ เพื่อบีบให้ระบบการผลิตทั้งห่วงโซ่ลดการเผาอ้อยในไร่ลงอย่างจริงจัง
เมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาประกอบกัน จึงเกิดคำถามกลับไปยังสังคมว่าในเมื่อฤดูหีบอ้อยเพิ่งเริ่ม โรงงานส่วนใหญ่ยังไม่เปิดเดินเครื่อง และอ้อยส่วนใหญ่ที่ถูกส่งเข้าโรงงานเป็น “อ้อยสด” มากเกือบ 100% ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ประชาชนเผชิญอยู่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จะโยนความผิดทั้งหมดให้การเผาอ้อยได้จริงหรือไม่
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลถูกจับตามองอย่างหนักในประเด็นสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเผาอ้อยในไร่ก่อนตัด ซึ่งมีส่วนสร้างฝุ่นควันและมลพิษในหลายพื้นที่ ทำให้ชาวไร่อ้อยจำนวนมากรู้สึกว่าตนเองถูกมองเป็นผู้ก่อปัญหามากกว่าจะเป็นภาคส่วนที่กำลังพยายามปรับตัว
นายรังสิตยอมรับว่า ภาคอุตสาหกรรมไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ แต่ย้ำว่า วันนี้ทั้งโรงงานและเกษตรกรจำนวนมากได้เริ่ม “เปลี่ยนวิธีทำ” อย่างจริงจังแล้ว
ในฐานะองค์กรกลางของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลซึ่งมีสมาชิกครอบคลุมโรงงานน้ำตาลทั้ง 58 แห่ง ไทยชูการ์ มิลเลอร์ และ 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย ประกาศชัดว่าพร้อมร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ ภายใต้แนวทางที่สำนักงานอ้อยและน้ำตาลทรายกำหนด โดยมีเป้าหมายสำคัญร่วมกันคือ “ลดการเผาอ้อย” ให้ได้มากที่สุด
หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้คือการผลักดันให้ชาวไร่อ้อย “ตัดอ้อยสด” แทนการเผาไร่ ซึ่งในช่วงต้นฤดูกาลปีนี้ ภาพรวมตัวเลข 99.7% ของอ้อยสดที่ส่งเข้าโรงงาน ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่สะท้อนว่า เกษตรกรจำนวนมากตอบรับมาตรการและเข้าใจผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นแล้ว
การจะทำให้ “ไร่อ้อยไม่เผา” เกิดขึ้นจริงในวงกว้าง ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับความตั้งใจของชาวไร่เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับ “ต้นทุน” และ “เครื่องมือ” ที่ต้องใช้ในภาคสนามด้วย
นายรังสิตระบุว่า โรงงานน้ำตาลหลายแห่งได้เข้ามามีบทบาทสนับสนุนการทำเกษตรสมัยใหม่มากขึ้น ทั้งในด้านการส่งเสริมให้ใช้ “รถตัดอ้อย” แทนการตัดมือเพื่อลดแรงงานหนักและเพิ่มความแม่นยำ รวมถึงการสร้างระบบรองรับ “ใบอ้อย” ซึ่งเดิมมักถูกทิ้งหรือเผาให้หายไปจากแปลง
โรงงานบางแห่งจึงเริ่มรับซื้อใบอ้อยจากเกษตรกร เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบผลิตไฟฟ้าชีวมวลในโรงงานของตนเอง ทำให้ “ของเหลือ” ในไร่อ้อยกลายเป็น “รายได้” ใหม่ของชาวไร่ และกลายเป็นเชื้อเพลิงสะอาดกว่าการปล่อยให้ถูกเผาในที่โล่ง
อย่างไรก็ตาม กลไกเหล่านี้จะเดินหน้าได้อย่างมีเสถียรภาพ จำเป็นต้องมีบทบาทสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งในด้านงบประมาณ มาตรการจูงใจ การสนับสนุนเงินลงทุนด้านเครื่องจักรและระบบโลจิสติกส์รับใบอ้อย ตลอดจนมาตรการทางภาษีหรือราคาไฟฟ้าที่เอื้อต่อการลงทุนชีวมวล
หากมีมาตรการสนับสนุนที่เหมาะสม การรับซื้อและใช้ประโยชน์จากใบอ้อยจะกลายเป็น “จิ๊กซอว์สำคัญ” ที่ช่วยลดการเผาในไร่ได้อย่างเป็นรูปธรรม และทำให้การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 จากภาคเกษตรเดินหน้าอย่างยั่งยืนกว่าการใช้มาตรการควบคุมเพียงระยะสั้น
แม้จะยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านจากระบบที่พึ่งพาการเผาไร่มานานไม่ใช่เรื่องง่าย นายรังสิตมองว่า ตัวเลขการรับซื้ออ้อยสดมากถึง 99.7% ในช่วงต้นฤดูหีบปีนี้ ถือเป็น “หลักฐานเชิงประจักษ์” ของความมุ่งมั่นในอุตสาหกรรม
“แม้จะเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่ตัวเลขการรับอ้อยสดมากถึง 99.7% ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงในการจัดการปัญหา” นายรังสิตกล่าว พร้อมย้ำว่า อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทยต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นภาคธุรกิจที่ “โปร่งใส ตรวจสอบได้” และเดินหน้าแก้ปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
การลดผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ไม่อาจทำได้โดยการชี้นิ้วไปยังภาคใดภาคหนึ่งเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัย “ยุทธศาสตร์ความร่วมมือ” แบบรอบด้าน ทั้งจากภาครัฐ โรงงานน้ำตาล และเกษตรกรชาวไร่อ้อย ผ่านการทำเกษตรสมัยใหม่ การใช้รถตัด และการสร้างมูลค่าเพิ่มจากเศษวัสดุทางการเกษตร
หากความร่วมมือดังกล่าวดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและต่อยอดด้วยนโยบายรัฐที่ชัดเจน มีแรงจูงใจที่เหมาะสม และมีข้อมูลตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ก็มีโอกาสสูงที่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลจะไม่ใช่ “จำเลยฝุ่น” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนึ่งในตัวอย่างของภาคเกษตรที่เดินหน้าแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืนในระยะยาว